Title
: Please
Author
: RUNAWAY05
Pairing
: PARK CHANYEOL x BYUN BAEKHYUN
Type/Rate
: ?
Note
: แก้บนบัตรคอนตอนที่หนึ่ง...
บยอนแบคฮยอนรู้สึกขอบคุณพระเจ้าทุกครั้งที่สร้างมนุษย์ผู้คิดค้นหูฟังขึ้นมา...
หากพูดกันตามจริงว่าถ้าไม่มีสิ่งนี้เหมือนเขาสูญเสียโลกไปเกือบครึ่งใบ...กับตัวเขาเองที่ใช้ชีวิตเสมือนจมอยู่เสียงเพลงแทบจะทั้งวัน
ไม่ว่าจะตอนขับรถหรือเดินเท้า อย่างน้อยต้องมีหูฟังทั้งแบบครอบหรืออินเอียร์สักชิ้นที่ใบหู
เพื่อจะเป็นที่ตัดตัวเองออกจากความวุ่นวายของปัจจุบัน
แบคฮยอนเป็นคนไม่มีความฝัน...ชีวิตของเขาตอนนี้เหมือนเหยียบอยู่บนโหมดเกรย์สเกล
เดินไปที่ใดก็เหมือนจะยากลำบากกับการหาสีสันให้ชีวิต ทว่าเขาก็ชาชินกับการใช้ชีวิตแบบนี้มายี่สิบกว่าปีเช่นกัน
อยู่อย่างที่ว่าแม้จะมีคนเดินผ่านไปผ่านมามากมาย
ก็ยังรู้สึกเหมือนอยู่คนเดียวเพียงลำพังเสมอ
ร่างของชายหนุ่มวัยยี่สิบสามที่ขนาดตัวเหมือนเด็กมัธยมซะมากกว่ากำลังหอบหิ้วถุงเบียร์มาจากมินิมาร์ท
สายตามองไปที่ชั้นหกซึ่งเป็นห้องพักของตัวเอง
จมูกโด่งรั้นผ่อนลมหายใจเอาไอควันออกมาท่ามกลางอากาศเย็น
ดวงหน้าเกลี้ยงเกลาประสาคนที่เกิดมาในครอบครัวที่ถูกทะนุถนอมมาอย่างดีตอนนี้ปรากฏสีแดงขึ้นพวงแก้มทั้งสองข้าง
ก่อนจะเร่งฝีเท้าเข้าไปด้านใน
แบคฮยอนสืบเท้าไปยังห้องเป้าหมาย...ที่ไม่ใช่ห้องของเขาเอง
แต่เป็นห้องที่อยู่ข้างๆกัน...
เคาะประตูรั้งสองครั้งบานประตูก็เปิด
พร้อมกับสีหน้าไม่สบอารมณ์ของเข้าของห้องที่มองเขาอยู่พักก่อนจะปล่อยมือจากลูกบิดเป็นเชิงอนุญาตให้เข้ามาด้านใน
ดวงตาเรียวไล่มองตามอีกฝ่ายที่สวมเสื้อกล้ามกับกางเกงขายาวเป็นปกติในเวลาตีสองแบบนี้
มือเรียวเกี่ยวเอาหูฟังของตนเองออกก่อนจะเอ่ยปากขึ้นเบาๆ
“เลิกงานนานรึยัง”
“ก็สักพัก...แล้วมึงมาทำเหี้ยไรดึกดื่นป่านนี้”อีกฝ่ายตอบก่อนจะหันมามองแบคฮยอนที่ปิดประตูลง
ถอดรองเท้าเดินตามเข้ามาพลันวางถุงเบียร์ลง
“เราไปตามดูเซฮุนมา เขาพาแฟนไปดูหนัง”
“มึงนี่ก็โรคจิต
แล้วก็มานั่งแดกเบียร์ในห้องกูเนี่ยนะ ถามจริงแม่มึงรู้มั้ยทำตัวแบบนี้?”
“ไม่อะ ไม่ได้บอก”แบคฮยอนสั่นศีรษะไปมาให้อีกคนนั่งเหลือกตาขึ้นฟ้า
ในห้องโทนสีน้ำตาล-ครีม ตกแต่งด้วยเครื่องดนตรี เจ้าของห้องชื่อปาร์คชานยอล
เรียนคนละมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ อีกฝ่ายเรียนดุริยางคศิลป์และรับจ๊อบเล่นดนตรีตามร้านเหล้าในเวลากลางคืน
ส่วนเขาเรียนเภสัชอยู่มหาวิทยาลัยการแพทย์ที่ไม่ไกลจากกันเท่าใด
ส่วนเหตุที่ทำให้พวกเขามาเจอกัน ก็คงเป็นตอนที่แบคฮยอนรู้สึกอกหักจากโอเซฮุน
คนที่เขาทุ่มเทความรักให้เพียงฝ่ายเดียวมาตลอด
เขาดื่มเหล้าจนเมาแล้วก็ทุบประตูห้องข้างๆแทนที่จะเป็นห้องตัวเองเพราะเปิดไม่ออก
สำทับด้วยการอาเจียนหกเลอะเทอะให้ได้อับอายตอนสร่างเมา และแน่นอน
ว่าห้องที่เกิดเรื่องนั้นคือห้องนี้...ห้องของปาร์คชานยอลผู้ที่ไม่เคยจะพูดเพราะๆกับเขาสักครั้ง
ชานยอลเป็นผู้ชายตัวสูง
ผิวไม่ได้ขาวจัดแต่ก็เนียนพอสมควร ใบหน้านิ่งๆ ดวงตาที่คอยหรี่ลงบ่อยครั้งเพราะว่าสายตาสั้น
ท่าทางสะอาดและดูเป็นผู้ชายที่ดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเขา(ที่ความสูงเท่าเด็กมัธยม
แถมยังดูแลตัวเองได้ไม่ค่อยดีจนผู้เป็นแม่ต้องแวะมาหาที่ห้องทุกวันอาทิตย์ด้วยความเป็นห่วง)
และเรื่องความรักของเขาที่มีต่อโอเซฮุนคนนั้นชานยอลก็รับรู้มันตั้งแต่วันแรกที่เขาเข้ามาอ้วกรดห้องพร้อมกับพร่ำเหมือนคนเสียสติ
แต่นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้พวกเขาได้รู้จักกัน
แบคฮยอนจรดเบียร์ริมฝีปากก่อนจะมองชานยอลที่เอนกายดูทีวีอยู่เงียบๆ
“ดื่มมั้ย?”
“ไม่อยาก”
“นายรู้มั้ย แฟนเขาน่ารักมาก ตัวเล็กๆ ผิวขาวๆ
ตาโตๆเหมือนตุ๊กตา เราก็ตาสองชั้นนะแต่มันหลบใน ทำไมเขาไม่รู้เนาะ ฮ่าฮ่า”
“กูรู้แค่ว่า กูสูงเหมือนมัน
กูเป็นผู้ชายเหมือนมัน กูมีทุกอย่างเหมือนมันยกเว้นอยู่อย่างเดียว”
“...”
“กูทำให้มึงรักไม่ได้เหมือนมัน”
“...”แบคฮยอนเงียบไปเมื่อชานยอลเอ่ยถ้อยคำเชิงพ้ออยู่เนืองๆด้วยท่าทีปกติราวกับไม่มีความรู้สึก
ใช่... หลังจากที่พวกเขารู้จักกันมาสักระยะ ชานยอลก็สารภาพรักกับเขา
แต่แบคฮยอนก็ไม่ได้ให้คำตอบเพราะว่ายังตัดเซฮุนออกไปไม่ได้
สถานะตอนนี้เลยค่อนข้างจะครึ่งๆกลางๆ พวกเขาเป็นมากกว่าเพื่อน
แต่ก็ไม่ได้เป็นแฟนกัน เป็นสถานะไม่มีชื่อที่แบคฮยอนจะสามารถเรียกได้เสมอไม่ว่าจะหลอดไฟเสีย
รถสตาร์ทไม่ติด จ่ายค่าไฟ ไปกินข้าว ชีวิตของแบคฮยอนผูกติดกับชานยอลแต่ไม่ใช่คนรัก
แม้จะไม่ได้ตอบรับแต่แบคฮยอนกลับไม่ได้ถอยหนีคนที่มาสารภาพรักอย่างชานยอล
และตัวชานยอลก็ยังทำทุกอย่างดังปกติยกเว้นจะตัดพ้อออกมาบ้างตามอารมณ์
“แล้วมึงจะนอนไหน”
“เดี๋ยวกลับไปนอนห้องก็ได้”
“งั้นก็ไปแดกที่ห้องดิ มาเคาะห้องทำห่าไร”
“ก็ไม่มีคนคุยด้วย...อย่าใส่อารมณ์ดิ”
“กูคนเสียงดัง รับไม่ได้ก็ไม่ต้องมา”
“...”
“เดี๋ยวกูไปหาเอง”
บางทีแบคฮยอนก็ตลกกับความสัมพันธ์น่าปวดหัวอย่างคนที่มาชอบไม่ชอบ
ไปชอบคนที่ไม่ชอบ ที่น่าจะเป็นประสบการณ์ของใครหลายคนโดยที่เขาก็โล่งใจที่ไม่ได้รู้สึกแบบนี้อยู่ลำพัง
เขาหลงรักโอเซฮุน นักเรียนแพทย์ร่วมมหาลัยมาสองปี
รู้ทุกอย่างว่าอีกฝ่ายคบผู้หญิงมากี่คน (และยินดีอยู่คนเดียวเมื่อพบว่าสุดท้ายโอเซฮุนก็ทิ้งสาวเจ้าให้นอนเช็ดน้ำตากันหมด)
แม้จะไม่เคยสารภาพรักเอง แต่ก็ไปป้วนเปี้ยนจนอีกคนจำชื่อได้ ทว่า...ความรู้สึกไล่ตามโอเซฮุนฝ่ายเดียวอย่างมีความสุขก็พังพินาศลงเมื่อผู้ชายร่างเล็กใบหน้าหวานหยดเหมือนกับตุ๊กตากระเบื้องที่ชื่อว่าลู่หานปรากฏตัว
คล้ายว่าคนๆนี้เป็นถึงลูกนายพล ที่เหมาะสมกับโอเซฮุนที่เป็นหมอกันทั้งบ้าน
แถมประจำทั้งโรงพยาบาลใหญ่ๆไปจนถึงเป็นแพทย์ส่วนพระองค์ของคนในวัง
ส่วนแบคฮยอนที่พ่อเป็นเภสัชกร แม่เป็นแม่บ้าน เพียงแค่นี้ก็ดูต่างจนให้หาความเหมาะคงง่ายกว่าความต่างเหล่านั้น
แต่เพราะความเจ็บปวดที่ไม่สามารถมองตามโอเซฮุนอย่างมีความสุข(แต่ก็เลิกมองไม่ได้)
ทำให้เขาได้เพื่อนใหม่อย่างชานยอล คนที่ไม่เคยพูดเพราะกับใครสักคน
เสียงเล่าลือว่าชานยอลคือตัวอันตราย ด้วยสีหน้าเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อคนอื่น
(ทั้งที่แค่สายตาสั้น) คำพูดห้วนๆไม่เป็นมิตรกับใคร (แม้แต่อาจารย์) แต่ก็ใจดีกับเขาอยู่เสมอ
และแบคฮยอนก็ไม่รู้ว่าอีกคนเอาอะไรมารักเขา เห็นอะไรในตัวของเขากันแน่
หรือประทับใจการอ้วกรดห้องแบบไร้ทิศทาง ถึงได้สารภาพรักกับเขาเมื่อเดือนก่อน
แต่ก็ยังถือว่าโชคดีที่แม้ว่าจะไม่ได้ตอบรับ ก็ไม่เคยหนีหน้า ยังทำตัวเหมือนเดิม (และแน่นอนว่าไม่ได้พูดเพราะขึ้นแต่อย่างใด)
“แบคฮยอน แฟนมารับอะ”
เสียงของเพื่อนที่ตะโกนจากหน้าตึกทำให้ร่างกะทัดรัดที่นั่งอ่านเลคเชอร์อยู่ข้างในเลิกคิ้ว
ก่อนจะยื่นหน้าออกมานอกหน้าต่างและพบปาร์คชานยอลกำลังนั่งรออยู่บนเวสป้าสีครีม
และหมวกกันน็อคสีน้ำตาลใบเดิม แบคฮยอนรีบเก็บของใส่กระเป๋าก่อนจะเดินออกมาพูดเสียงอ่อย
“เพื่อน ไม่ใช่แฟน”
“มารับทุกวันเลยเนี่ยนะ จ้างเดือนกี่วอนอ่ะ”
“บ้า ไม่ได้จ้างสักหน่อย”
“ตอบหยั่งกับดารา ฮ่าฮ่า”เมื่อโดนแซวมากๆสองขาก็รีบสาวออกมาหาชานยอลที่รออยู่
เส้นผมสีบลอนด์เงินที่แลบออกมานอกหมวกกันน็อคแบบครึ่งศีรษะทำให้อีกฝ่ายเหมือนคุณลุงมากกว่าจะเป็นเพื่อนร่วมปี
แบคฮยอนรับหมวกมาสวมโดยที่อีกคนก็ถามสั้นๆ
“เป็นเหี้ยอะไรกัน”
“เพื่อนแซวว่าแฟนมารับ”
“ตอบไปว่าไง”
“ไม่ใช่แฟน เพื่อน”
“ไม่รักก็ลงรถไป”เสียงห้วนๆของชานยอลทำเอาแบคฮยอนเบ้ปาก
เพราะเสียงของชานยอลไม่เคยจะรื่นหูสำหรับใคร พอบวกกับเนื้อความที่ไม่เป็นมิตรต่อผู้คนเลยทำให้ระคายหูเป็นสองเท่าจนแบคฮยอนแน่ใจว่าถ้าคนอื่นพูดอาจไม่ดูน่าโมโหเท่านี้
เจ้าตัวถอดหมวกกันน็อคยัดใส่อีกคนก่อนจะเดินเท้าดุ่มๆด้วยความหมันไส้
แบคฮยอนคิดว่าตัวเองเป็นคนอารมณ์เย็นมาตลอด... จนกระทั่งมาเจอคำพูดคนๆนี้ที่ลอยกระแทกหูบ่อยๆนี่แหล่ะ
เสียงเวสป้าดังเข้ามาใกล้พร้อมกับเสียงบีบแตรให้น่าหงุดหงิด...
ก่อนจะตามด้วยประโยคๆหนึ่ง...
“ขึ้นรถเหอะ...กูรักมึง”
สายลมที่โชยเข้าบนถนนที่แบคฮยอนไม่เคยมองเห็นเพราะมีแผ่นหลังของชานยอลบังอยู่ตลอดนั้นปลายทางไปที่ร้านที่ชานยอลทำงาน
บางวันที่เลิกเรียนไวและยังไม่อยากกลับไปนอนเบื่อในห้อง
แบคฮยอนชอบขอให้ชานยอลมารับไปที่ร้านด้วยเสมอ บางทีก็ไปนั่งดื่มแบบลูกค้า
หรือไปช่วยเล็กๆน้อยๆตามสมควร และแบคฮยอนก็มั่นใจว่าตัวเองคุยเก่งประมาณหนึ่งจึงได้สนิทกับเจ้าของร้านอย่างรวดเร็ว
กลิ่นโคโลญจน์อ่อนๆจากตัวชานยอลเป็นกลิ่นที่แบคฮยอนชินชาไปเสียแล้ว
และเขาได้รับกลิ่นนั้นอยู่เสมอในยามที่อีกคนอยู่ใกล้ๆ บางทีแบคฮยอนก็รู้สึกกลัว
หากว่าเขาไม่ได้ตอบรับแล้วชานยอลทนไม่ได้ หายไปจากกันเขาจะเป็นยังไง
เพราะตอนนี้นอกจากแอบมองเซฮุนอย่างที่เคย ชีวิตของแบคฮยอนก็ใกล้ชิดกับชานยอลราวกับฝาแฝดตัวติดกันก็ไม่ปาน...
สุดท้ายก็มาถึงร้านโดยสวัสดิภาพ โดยที่วันนี้แบคฮยอนจะทำหน้าที่ลูกค้าที่ดี
หลังจากที่ทักทายพี่เจ้าของร้านที่เป็นชายหนุ่มหุ่นหมีผิดกับภรรยาที่สวยเพรียวสะโอดสะอง
ที่หนังด้านหน้าเวทีก็เป็นของแบคฮยอนอย่างไม่ต้องสงสัย
ไม่แปลกนักถ้าจะมีนักศึกษามานั่งดื่มในร้านเหล้าแถวมหาวิทยาลัยตอนเย็นๆ
เพราะไม่นานนักคนอื่นๆก็ทยอยเข้ามาเช่นกัน ทั้งยังคงเครื่องแบบหรือชุดลำลอง ที่นี่จัดอยู่ในบรรยากาศสบายๆ
ก่อนจะเริ่มเปิดเวทีด้วยชานยอลในช่วงหัวค่ำ
แต่ก่อนหน้านั้นเหมือนว่าคุณนักดนตรีตาจิกจะมานั่งกินข้าวอยู่กับเขาที่โต๊ะหน้า
ระหว่างที่ลูกค้ายังฮาเฮไปกับเพลงเปิดคลอเบาๆผ่านลำโพง
“แดกได้แล้วดิ”ชานยอลที่ยังคีบซี่โครงหมูอบคลุกข้าวหันมาเอ่ยถามแบคฮยอนที่นั่งแกะถั่วแระญี่ปุ่นต้มกับโซจู
คิ้วเรียวเลิกเล็กน้อยก่อนจะย้อนถามกลับ
“กินอะไรอะ”
“ถั่วเนี่ย ไหนมึงบอกเหม็นเขียว”ตาเรียวก้มมองของในจานแล้วก็นึกขึ้นได้
ใช่ที่ตอนแรกเขาไม่ชอบถั่วนี่เลยด้วยซ้ำ มันเหม็นเขียวแล้วก็ไม่น่ากินเอาซะเลย
แต่เพราะจิ้มมาผิดเลยต้องนั่งทนกินโดยที่ตอนนั้นชานยอลก็มาช่วยกินไปส่วนหนึ่ง
ทว่าพอกินไปเรื่อยๆเขาก็รู้สึกว่ากลิ่นไม่ใช่เรื่องหนักหนา
และมันก็ค่อนข้างอร่อยและเหมาะกับโซจูสำหรับเขาแม้จะโดนมองแปลกๆไปหน่อยก็ตาม
“ก็กินไปแล้วมันอร่อยนี่ เปลี่ยนใจได้ป้ะล่ะ”
“ที่ถั่วแระต้มมึงยังเปลี่ยนใจมาแดกได้
กูคนเดียวทำไมเปลี่ยนใจมารักไม่ได้วะ”
“พูดมากอะ ไปทำงานไป”ดันต้นแขนคนพูดไม่เพราะออกไปเมื่อเห็นว่าอีกคนทานเสร็จเรียบร้อยดี
ชานยอลเตรียมตัวอยู่ครู่ ก่อนจะนำกีตาร์คู่ใจขึ้นไปบนเวที และในตอนนั้นเองที่แบคฮยอนได้ฟังคำเพราะๆจากชานยอลผ่านเนื้อเพลง
เสียงของชานยอลไม่ได้จับใจถึงขั้นนักร้องอาชีพ แต่เสียงดนตรีผ่าปลายนิ้วนั้นเหมือนจะพาเขาลอยขึ้นไปบนที่สูง...
เขารู้สึกได้ว่าเพลงทุกเพลงที่ชานยอลเล่นมันเต็มไปด้วยความรู้สึก เสียงเพลงเล่นเดี่ยวของชานยอลจบลงพร้อมกับเสียงปรบมือของลูกค้า
ก่อนที่พี่ๆในร้านคนอื่นมาร่วมเล่นดนตรีด้วยกัน เสียงเพลง แอลกอฮอล์ แสงไฟมันทำให้ขีดความสุขของแบคฮยอนตีขึ้นสูง
แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดลุกขึ้นมาเต้นเหมือนคนอื่นๆ
เวลาผ่านไปพร้อมกับโซจูขวดที่หกซึ่งหมดลง ชานยอลก็หมดคิวเล่นเพลง
แบคฮยอนเองก็นั่งรออยู่พร้อมกับความรู้สึกเลื่อนๆลอยๆ ร้อนๆใบหน้าประสาคนเริ่มจะเมา
“นั่งหน้าแดงเลยนะมึงอะ จะเมาเหมือนหมาอีกมั้ย”
“เมาไร..เรากินไปไม่เยอะนะ”
“ครึ่งลังเนี่ยนะ ปกติมึงแดกทีละสองลังเหรอ”ชานยอลนั่งลงข้างๆก่อนจะพบว่าอาการของคนตัวเล็กเริ่มไม่ไหว
เขาจึงไปติดต่อเจ้าของร้านก่อนจะพาคนตัวเล็กๆกลับด้วยการจับนั่งซ้อนท้าย
พอจะสวมหมวกกันน็อคให้ก็เหมือนพร้อมจะหงายหลังทุกเมื่อ ชานยอลจิปากขัดใจ
ก่อนจะเปลี่ยนเอาตัวเองไปนั่งซ้อนด้านหลังและเป็นคนขับโดยที่อีกฝ่ายคอพับอยู่ด้านหน้า
แบคฮยอนพิงแขนของชานยอลแล้วหลับตาในขณะที่เวสป้าสีครีมก็แล่นออกจากร้านเพื่อกลับหอ
แม้จะเมา...แต่แบคฮยอนก็ถามตัวเองเสมอว่าเพราอะไรเขาถึงไม่เคยได้รับความรักจากโอเซฮุนบ้าง
ทำไมถึงเป็นได้เพียงคนรู้จักทั้งที่อยากเป็นมากกว่านั้น หรือผิดที่เขาไม่กล้าเข้าไป...
ที่เขาไม่กล้าเข้าไปเพราะเขารู้ดีว่าถ้าเข้าไปก็ต้องออกมา
เขายังอยากแอบรักโอเซฮุนต่อไปเรื่อยๆอย่างไม่ต้องเจ็บกับการถูกผลักไส
คิดเอาเองแบโง่ๆว่านี่เป็นทางออกที่ดีสำหรับการจะรักใครสักคน
แต่ความเป็นจริงแล้ว...การที่เห็นคนที่ชอบรักกับคนอื่นมันเจ็บกว่าที่คิดเอาไว้มากกว่านั้น...
แบคฮยอนคิดเสมอว่าที่ของคนที่ชื่อลู่หานหากเป็นเขาจะเป็นยังไง...เขาอยากให้เซฮุนยิ้มให้เขาแบบที่คนที่ชื่อลู่หานได้รับ
แต่เขาได้แค่คิด ในเมื่อเขาไม่กล้าพอที่จะพูด
ก็ต้องกล้าที่จะทนมองเขามอบความห่วงใยให้คนอื่น
ทั้งที่คิดว่าอีกไม่นานเซฮุนคงทิ้งแบบที่ผ่านมา แต่แบคฮยอนกลับรู้สึกว่ายิ่งนาน
ทั้งสองคนก็เหมือนจะหยั่งรากลึกไปเรื่อยๆ จนไม่มีทางถอนความรักคนทั้งสองออกมาได้อย่างแน่นอน...นอกจากจะถอนใจตัวเอง
และแน่นอนว่าแบคฮยอนไม่กล้าทำอะไรทั้งนั้น...
“จะนอนบนเบาะนี่เหรอ ลงดิวะ”
“...”
“เฮ้ย”เสียงอีกคนปลุกสองสามครั้งแต่แบคฮยอนคิดว่าเขาพยุงตัวเองไม่ไหว
จนรู้สึกเหมือนโดนแบกขึ้นหลัง ใช่...ชานยอลแบกเขาขึ้นหลังก่อนจะพาเข้าลิฟต์ไปชั้นหก
และเข้าไปในห้องของชานยอลเอง แบคฮยอนถูกวางลงบนเตียง โดยที่จ้าตัวก็ทำได้แค่นอนนิ่งๆกับสติครึ่งๆกลางๆ
เขาได้ยินเสียงน้ำ ก่อนที่มันจะเงียบไป และได้กลิ่นน้ำยาปรับอากาศในห้อง
แบคฮยอนหรี่ตาเล็กน้อยเมื่อรับรู้ว่ามีผ้าเช็ดเบาๆที่ข้างแก้ม
“เช็ดเองได้มั้ย”
“...”แบคฮยอนสั่นศรีษะช้าๆเพราะรู้สึกหนักไปทั้งศีรษะ
ก่อนจะได้ยินเสียงถอนใจแรง
“เมาแล้วเป็นง่อยนะมึงอะ”
“...”
“เดือดร้อนกูมั้ยล่ะ ไม่มีกูสักคนมึงจะอยู่ยังไง...คนที่มึงแอบชอบอะเขาไม่มาทำอะไรให้มึงหรอกนะ
มีแต่กูที่มึงไม่เอาเนี่ยแหล่ะที่ทำให้มึงทุกอย่าง”เสียงบ่นจากชานยอลดังขึ้นและแบคฮยอนเองก็ขยับริมฝีปากยิ้มเล็กน้อยเมื่อรู้สึกสบายตัว
ชานยอลแค่เช็ดตัวให้พร้อมกับคลายเข็มขัดและไม่ทำอะไรมากไปกว่านั้น
ลากคนตัวเล็กไปไว้กลางเตียงก่อนจะเดินอ้อมมาอีกฝั่งเพื่อล้มตัวนอนข้างๆอย่างไม่คิดล่วงเกิน
ก่อนจะได้ยินเสียงแผ่วๆกับคนที่กึ่งเมากึ่งมีสติ
“ชานยอล”
“เออ”
“...ขอบใจนะ”
“ช่างเหอะ กูชินกับการมีมึงเป็นภาระ”อีกคนตอบ“กูรู้...ต่อให้กูดีกับมึงสักพันครั้ง...ที่นั่งในใจมึงก็ไม่ใช่ของกูอยู่แล้ว”
“...”
“แต่มันเรื่องของกู กูเต็มใจ นอนละ”
แม้จะเบาราวกับเสียงกระซิบจากฝั่งกิโลเมตร
แต่ในเวลาแบบนี้ก็มากพอที่จะให้แบคฮยอนได้ยินและแย้มริมฝีปากออกมา เขานอนหลับไปทั้งอย่างนั้น
และชานยอลเองก็หลับตาลงนิ่งๆเหมือนพักผ่อนจากเรื่องที่ผ่านมาทั้งวัน
แม่ของแบคฮยอนเคยบอกเขาว่า...คนเรามันจะดึงดูดคนที่เหมือนๆกัน...
สำหรับพวกเขา...ก็คงเป็นคนที่แอบรักที่แสดงออกคนละวิธีเพียงเท่านั้น....