“...”
“อรุณสวัสดิ์ครับ”
พอรุ่งเช้า
ลู่หานที่เพิ่งขยี้ตาลงมาจากชั้นบนก็อ้าปากค้างเมื่อพบจิงป๋อหรันกำลังนั่งดื่มกาแฟตอนหกโมงเหมือนที่พูดไว้เป๊ะๆ
เด็กหนุ่มสะบัดศีรษะเล็กน้อยก่อนจะเข้าไปเตรียมช่วยพนักงานจัดอาหารเช้าให้แขก
พลันลอบถามพนักงานเบาๆเกี่ยวกับคุณนักเขียนที่ยังนั่งไขว่ห้างสวมเสื้อยืดกางเกงยีนส์พอดีตัวขายาวนั่งจิบกาแฟไม่ทุกข์ร้อนใจคนนั้น
“เขามานานรึยังครับ?”
“เท่าที่เข้างานมา
แขกก็ออกมาเดินเล่นตั้งแต่เช้ามืดแล้วค่ะ”ลู่หานยกจานปิดปากที่เบ้เบะทันที
ให้ตายสิ... “คุณลู่หานจะทานพร้อมแขกเลยมั้ยคะ”
“ค..ครับ”ตอบรับพลันหมุนกายไปหยิบเหยือกน้ำผลไม้มาเทใส่แก้ว
สังเกตเห็นนมกล่องที่วันนี้หายไปจากเดิมอีกกล่องหนึ่ง
คาดว่าแขกที่ชื่อโอเซฮุนคงลงมาเอาไปดื่มอีกและตอนนี้คงยังไม่ตื่น
เขาหยิบแก้วน้ำผลไม้นั้นเดินไปหาป๋อหรันที่ขยับหนังสือพิมพ์ลงพลันส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรมาให้
“นอนหลับสบายมั้ยครับ?”
“เอ่อ...มันต้องเป็นประโยคของเจ้าบ้านไม่ใช่เหรอครับ”ลู่หานกล่าวให้กับแขกที่ถามคำถามประหนึ่งเป็นเจ้าของเสียเอง
จิงป๋อหรันจิบกาแฟเล็กน้อยพลันส่งยิ้มเรี่ยราดราวกับนางงาม
“ประโยคแบบนี้เฮียไม่ถือหรอก เฮียอยากถามก็ถาม
หนูไม่สะดวกตอบก็ไม่เป็นไรนี่”
“ยังใช้สรรพนามแบบนั้นเหรอครับ”ร่างเล็กทำหน้าเนือย
“ผมหลับสบายครับ ตำราตั้งสองสามเล่ม”
“ยานอนหลับขนานเอกเลยนี่”ชายหนุ่มหัวเราะ “จะเตรียมตัวสอบเข้ามหาลัยนี่เรา”
“ใช่ครับ...เหมือนระเบิดเวลาเลย พอสอบเสร็จก็บึ้ม..ผมตาย”ลู่หานกล่าวพร้อมกับอาหารเช้าที่ถูกจัดเสิร์ฟ
ซึ่งเป็นสลัดผักกับชุดอาหารเช้าแบบตะวันตกง่ายๆ ป๋อหรันจิบกาแฟที่พร่องลงไปเกือบก้นแก้วพลันเอ่ยขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
“ถ้ายังไงปรึกษาเฮียได้นะ ช่วงนี้คงจะเครียดมาก
ตอนเฮียจะเข้ามหาลัยก็รู้สึกเหมือนจะตายเลยเหมือนกันล่ะ
แต่ยังดีที่มีพ่อกับแม่คอยฟังคำปรึกษา”
“ผมไม่รู้จะปรึกษาอะไรหรอกครับ”
“อย่างนั้น หนูเอาตำรามาอ่านกับเฮียก็ได้
ถ้าไม่สะดวกใจก็ติวที่ห้องนั่งเล่น เฮียเองก็จะเขียนงานเหมือนกัน”ร่างสูงอาสา
และดวงตากลมหวานก็ได้แต่กะพริบปริบๆ
“แล้วจะมีสมาธิเหรอครับ..คืออาจจะต้องใช้...”
“ไม่หรอกครับ จิ้มๆไปเรื่อยๆ
อะไรที่นึกได้”ชายหนุ่มขยับยิ้ม และลู่หานก็พยักหน้ารับเบาๆ ต่างคนต่างทานอาหารโดยที่คุยเรื่องทั่วๆไป
การใช้ชีวิต เป้าหมายของลู่หานและทัศนคติของป๋อหรัน และลู่หานก็คิดว่าเขาเองเดาได้ถูกว่านักเขียนสามารถถ่ายทอดถ้อยคำออกมาได้อย่างน่ารื่นหูอยู่เสมอ
เมื่อจบมื้อเช้า ที่ห้องนั่งเล่นชั้นบนลู่หานก็หยิบตำราออกมากางวาง
และป๋อหรันก็มาพร้อมกับโน้ตบุ๊กทำงานของตนเองต่อปลั๊กพร้อม ต่างคนต่างนั่งขัดสมาธิหันหน้าเข้าหากันบนโต๊ะเตี้ยๆ ลู่หานขยับเรียงไฮไลต์ให้เรียบร้อยพลันมองป๋อหรันที่เปิดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คและเตรียมสมุดเล่มเล็กสำหรับจดข้อมูลเตรียมพร้อม
เด็กหนุ่มเริ่มต้นอ่านหนังสือ ดวงตามองตัวหนังสือพลางไฮไลต์อย่างเชื่องช้ากับเวลาผ่านไปเงียบๆ
ในขณะที่จิงป๋อหรันก็ยังพิมพ์งานต่อไปแบบนั้น
เนิ่นนานเสียจนลู่หานไม่รู้ว่ามันจะจบลงเมื่อไหร่ หรือจะเป็นยังไงต่อไป เพราะมันไม่ได้เข้าหัวเขาแม้แต่นิด
มันเต็มไปด้วยความอึดอัด อ่านหนังสือก็ว่าไม่สบายพอแล้ว
ยังมานั่งกับคนที่ไม่สนิทยิ่งอึดอัดไปกันใหญ่
“เฮ้อ”
“...”ลู่หานเงยหน้าขึ้นเมื่อป๋อหรันผ่อนลมหายใจออกเล็กน้อย
ดวงตาเรียวนั้นขยับหยีลงนิดหน่อยโดยที่ร่างเล็กก็เดาความหมายไม่ออกนัก “มีอะไรรึเปล่าครับ?”
“เฮียคิดไม่ออกน่ะ”
“อ่า...”
“เฮียว่าน่าจะไปข้างนอกหน่อย ไปด้วยกันมั้ย?”ป๋อหรันส่งยิ้มมาให้
“หนูเองก็ไม่มีความสุขเลยไม่ใช่เหรอ?”
“...”คิ้วเรียวเลิกเล็กน้อย
ไม่รู้ทำไมลู่หานถึงรู้สึกประหลาดใจ
อาจเพราะว่าอีกฝ่ายเป็นคนแรกที่มองออกว่าเขารู้สึกอะไรอยู่ก็เป็นได้
เพราะอย่างนั้นเพียงไม่นาน ตำราและโน้ตบุ๊กก็ถูกเก็บกลับห้องตัวเอง และจักรยานที่บ้านหลังใหญ่ก็ถูกจิงป๋อหรันเข็นออกมาเช็คล้อ
โดยที่น้าสาวเห็นหลานชายกับแขกตั้งท่าออกไปข้างนอกก็ไต่ถามอย่างแปลกใจ
“จะไปข้างนอกกันเหรอจ๊ะ”
“ครับ วันนี้อากาศดี แดดไม่ค่อยแรง
ก็เลยว่าจะไปปั่นจักรยานเล่นสักหน่อย”ชายหนุ่มตอบ ก่อนที่มือของหญิงสาวจะยกขึ้นแตะปากตน
“ลู่หาน...ปั่นจักรยานไม่เป็นนะจ๊ะ”
“หืม?”ป๋อหรันร้องในลำคอก่อนจะหันมาหาลู่หานที่ทำหน้าแหยเล็กน้อย
ดวงตาเรียวหรี่ลงเป็นเชิงยิ้มอีกหนพลันตอบหญิงสาวเจ้าของที่พักไป “ไม่เป็นไรครับ
เราจะไปด้วยกัน”
“เดินทางดีๆนะ”หล่อนว่าด้วยรอยยิ้ม
พร้อมกับจิงป๋อหรันที่พาลู่หานออกจากที่พัก
เด็กหนุ่มนั่งตัวเกร็งไปตามทางก่อนจะถามอีกฝ่ายอย่างเงอะงะ
“เรา...เราจะไปที่ไหนกันครับ”
“ไม่รู้ซิ...หนูอยากไปไหนล่ะ”
“มีแผนที่เหรอครับ?”
“ไม่มีหรอก”
“ห๋า?”เด็กน้อยร้องเสียงสูงก่อนจะได้ยินเสียงทุ้มเนิบนุ่มนวลลอยล่องมา
“ไม่มีก็ถามชาวบ้าน
ไม่มีก็เรียนรู้เส้นทาง ชีวิตเรามีอะไรอีกเยอะนะ เหมือนประโยคที่บอกว่า ชีวิตไม่ใช่รอคอยให้พายุฝนผ่านไป
แต่ชีวิตคือเรียนรู้ที่จะเต้นรำกลางสายฝน”
“...”
“หนูพอจะมองเห็นอะไรที่อยากทำรึยังครับ?”ประโยคคำถามแม้คนถามจะไม่ได้หันหน้ามาและเหมือนจะไม่คิดหาคำตอบ
แต่ทำให้ลู่หานไม่สามารถละสายตาไปจากแผ่นหลังกว้างๆภายใต้เสื้อยืดสีขาวซึ่งมีท้องฟ้าอากาศค่อนข้างร่มเป็นฉากหลัง
เขาเห็นก้อนเมฆก้อนเล็กๆล่องลอยไปบนท้องฟ้า
และในตอนนั้น..จักรวาลของลู่หานก็ประกอบไปด้วยแผ่นหลังของจิงป๋อหรันและก้อนเมฆขนาดเล็กสามก้อน...
“ไม่อยากเรียนมหาลัยเหรอ?”
ชายหนุ่มถามอีกครั้งในเวลาต่อมา
หลังจากจอดจักรยานตรงเนินหญ้าติดสะพานข้ามคลองซึ่งนานๆจะมีรถขับมาสักหนหนึ่ง
ป๋อหรันดื่มโคล่าแล้วมองลู่หานที่ยังลูบนิ้วกับกระป๋องโพคาริอยู่เงียบๆ และลู่หานเองก็อยู่ในช่วงชั่งใจว่าจะพูดต่อไปดีหรือไม่
“ฮะ...แต่ไม่เชิงว่าไม่อยากเรียนเลย..ผมไม่อยากเรียนมหาลัยที่มีชื่อเอาไว้อวดกับคนอื่น
ผมอยากเรียนอะไรที่ผมอยากเรียน”ดวงตากลมโตหรุบลง “แต่อย่างที่เห็น...ผมลูกคนเดียว
ผมทำให้พ่อแม่ผิดหวังไม่ได้”
“...”
“ชีวิตของผมอาจจบลงแค่ว่าเป็นพนักงาน
แล้วก็เท่านั้น ไม่มีอะไรอีก มันน่าเสียดายนะ มันก็อึดอัดล่ะครับ ดีที่คุณได้ทำอะไรที่คุณชอบ”
“ไม่หรอก”ชายหนุ่มเอ่ยเนิบๆจนลู่หานเลิกคิ้วเล็กน้อย
“เอ๋?”
“จะว่ายังไงดี..แต่เฮียไม่ได้โชคดีขนาดนั้น
งานเฮียเคยถูกปฏิเสธหลายรอบจนเกือบจะยอมแพ้ ตอนนั้นมีรุ่นพี่ที่เคยรู้จักติดต่อเฮียมาทำกับที่ปัจจุบัน
มันก็เลยโอเค ความรู้สึกที่ผิดหวังติดๆกันหลายครั้งนี่มันแย่เป็นบ้าเลย
แต่มันโอเค..เฮียผ่านมันมาได้เพื่อจะข่มปัญหาใหม่ๆว่าเราเคยผ่านอะไรแบบนี้มาแล้ว”ป๋อหรันส่งยิ้มให้
“แม้จะเบื่อ เจอเพื่อนๆน่ารำคาญ สังคมหน้ากาก แต่หนูเรียนเถอะนะ... อย่างน้อยก็เพื่อตัวเอง
ไม่ต้องสนใจหรอกว่าใครจะมองยังไง”
ดวงตากลมโตจ้องมองคำพูดราวกับเวทมนตร์ของอีกคนนิ่งๆ
“ให้ทุกๆวันของเรามีความหมายและมีความสุข
ไม่ใช่เพียงเพราะทำเพื่อคนอื่น แต่ทำเพื่อตัวเราเอง เชื่อเฮียนะ”
“สรรพนามนั่น..”ลู่หานก้มหน้าหัวเราะเบาๆพร้อมกับคิ้วเข้มที่ขยับเล็กน้อย
“ทำไมล่ะ สะดวกดีนะ เฮียทำงานก็พูดกับพวกพิสูจน์อักษรพวกเร่งต้นฉบับตลอดล่ะ”
“คึ...ฮ่าฮ่า...โอเคครับ”ใบหน้าหวานขยับยิ้ม “ขอบคุณมากนะ”
“...”จิงป๋อหรันคนนั้นนิ่งไปเล็กน้อย อาจเป็นเพราะแดดแรงเกินไปช่วงแก้มของร่างสูงจึงได้แดงราวกับบ่มแดดขึ้นมานิดหน่อย
นิ้วเรียวเกี่ยวเปิดกระป๋องพลันจิบโพคาริก่อนจะมองท้องฟ้า
ทุกอย่างเงียบลงอีกครั้งจนกระทั่งชายหนุ่มกล่าวถามเนิบๆ “หนูไม่มีความฝันเหรอ?”
“มันว่างเปล่าไปหมดเลยฮะ...อาจเพราะอนาคตถูกคิดไว้ให้แล้ว
ก็เลยลืมความต้องการของตัวผมเองไป”
“อา...”เสียงทุ้มครางเล็กน้อย
ก่อนที่ฝ่ามือที่เงื้อค้างอยู่นานจะแปะลงกลางศีรษะของลู่หานแล้วขยับเบาๆ “ไม่ต้องคิดมาก..ให้มันค่อยๆเป็นไป
ไม่ต้องรีบ ถ้ามีแล้วก็อย่าละทิ้งความฝันล่ะ เพราะปาฏิหาริย์มันเกิดขึ้นได้ทุกวันอยู่แล้ว”
“ครับ”ลู่หานส่งยิ้มให้
หลังจากการพูดคุยกับอีกฝ่ายเขาก็รู้สึกสบายใจกับตัวเองขึ้นมาเล็กน้อย ลู่หานรู้สึกได้ว่าจักรวาลของเขาเริ่มไม่รกร้างว่างเปล่า
พอพูดคุยเรื่องทั่วไป ดินฟ้าอากาศกันสักพัก จิงป๋อหรันก็พาลู่หานกลับมาที่บ้าน
พอดีกับเสียงมือถือของอีกฝ่ายดังขึ้นพอดี
“โอ๊ะ...สักครู่นะ”ลู่หานยืนอยู่กับจักรยานก่อนที่ป๋อหรันจะออกไปโรศัพท์และกลับมากับรอยยิ้มแห้งๆ
“อ่า..ตอนนี้เพื่อนเฮียมาพักอยู่หมู่บ้านข้างๆ ว่าจะออกไปดื่มกันสักหน่อย
คืนนี้อาจจะไม่กลับมาน่ะ”
“รักษาสุขภาพด้วยนะครับ”ถ้อยคำปรารถนาดีนั้นทำให้อีกฝ่ายอมยิ้มเล็กน้อย
ก่อนที่ป๋อหรันจะพูดขึ้นอีกครั้ง
“งั้นเฮียไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน หนูก็อย่าหักโหมมากล่ะ”
ลู่หานพยักหน้ายิ้มๆ ก่อนจะแยกกับป๋อหรันไป
ร่างเล็กกลับไปหาน้าสาวพลางอาสาช่วยทำกับข้าวและนั่งเล่นกับคุณยาย
ซึ่งไม่นานจิงป๋อหรันที่อาบน้ำแต่งตัวใหม่ก็มาโบกมือให้ก่อนจะขึ้นรถรับส่งเล็กๆระหว่างหมู่บ้านเพื่อไปหมู่บ้านข้างๆ
ลู่หานเองก็อยู่ที่บ้านใหญ่ ทานข้าวเย็นและกลับมาที่บ้านพักเพื่ออ่านหนังสือต่อ
เขาไม่เห็นแขกที่ชื่อโอเซฮุนเลยตลอดทั้งวัน
และถือโอกาสว่าบ้านนี้เป็นของเขา จึงได้หยิบตำรามาอ่านชั้นล่างพลางเปิดทีวีเพื่อไม่ให้มันเงียบ
ในครั้งนี้เขาไม่รู้สึกอึดอัดกับการอ่านมากนัก คงเพราะคำพูดของจิงป๋อหรันคนนั้นทำให้เขาเลือกที่จะวางความเครียดลง แต่ไม่ใช่ว่ามันจะไม่มี มันยังคงอยู่แต่เบาบางลงไปมาก ลู่หานนั่งชันเข่าอ่านหนังสือไปเรื่อยๆจนไม่ได้สังเกตว่าแขกที่ออกไปกำลังกลับเข้ามา
ติ๊ด!
“?!”
ลู่หานเงยหน้าขึ้นเมื่อเสียงแตะบัตรกับประตูจนเสียงเซนเซอร์ตอบรับดัง
เซฮุนสวมเสื้อฮู้ดตัวใหญ่กับกางเกงพอดีตัวสีดำเดินย่างเท้าช้าๆ
ดวงตาสีเทานั้นมองมาที่ร่างเล็กซึ่งยังอยู่ที่ห้องด้านล่างอย่างนึกฉงนนิดหน่อย
“คุณยังไม่นอนเหรอ ดึกป่านนี้แล้ว”
“เพิ่งหัวค่ำเองครับ..โอ๊ะ”ลู่หานเลิกคิ้วเมื่อมองไปยังนาฬิกาแขวนผนังก็พบว่าจวนจะห้าทุ่ม
เด็กหนุ่มยกหนังสือปิดหน้าจนเหลือแค่ดวงตาก่อนจะพบว่าเป้ของอีกฝ่ายวางลงที่โต๊ะตัวเตี้ยที่เขาวางหนังสือไว้
ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินไปที่ตู้เย็นและหยิบบะหมี่กระป๋องมากดน้ำร้อนใส่
“ขยันจังนะครับ”
“ไม่หรอกครับ..ผมแค่...”ลู่หานพึมพำและเซฮุนก็วางกระป๋องบะหมี่ลงพร้อมกับน้ำเปล่า
ร่างสูงนั้นเหยียดตัวเอนโซฟาพลันถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยล้า
“แถวนี้มีบ่อน้ำร้อนบ้างมั้ย คุณพอรู้รึเปล่า”
“ด้านหลังมีนะครับ ตอนนี้ไม่น่าจะปิด”เด็กหนุ่มแนะนำ
และโอเซฮุนก็ขยับตัวขึ้นนั่งเปิดกระป๋องบะหมี่ ดวงตาคมสีเทาหรี่ลงเป็นเชิงยิ้มและเอ่ยขอบคุณเบาๆ
ไม่มีคำพูดจากลู่หานที่เอาแต่มองตัวหนังสืออย่างไม่ค่อยจะรู้เรื่องกับอีกฝ่ายที่ทานบะหมี่เงียบๆ
“คุณ...”เสียงเบาๆดังออกมาจากริมฝีปากเล็ก
และชายหนุ่มก็เลิกคิ้วนิดหน่อย
“?”
“คุณ...เที่ยวเป็นยังไงบ้างครับ”ลู่หานพยายามยื่นไมตรีไปก่อนแม้จะดูยากเย็น
โดยที่อีกคนก็แค่อมยิ้มเล็กน้อย
“เรื่อยๆครับ มาพักผ่อน ก็เลยไม่อยากจะคิดอะไรมาก”ดวงตาของเซฮุนปรายลงที่ตำรา
เพียงเท่านั้นลู่หานก็หลังตรงขึ้นมา
“เอ่อ..ผมจะสอบเข้ามหาลัย ก็เลยต้องอ่าน”
“อา...ไม่ใช่..ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น”รอยยิ้มนิดๆที่ริมฝีปากได้รูปนั่นทำให้ลู่หานก้มหน้าลงเพราะสู้สายตาไม่ไหว
เขาอดยอมรับไม่ได้ว่าโอเซฮุนนั้นเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีจริงๆ “ทุกคนมีหน้าที่ๆต้องทำอยู่แล้ว
ถึงจะไม่ชอบแต่ก็ต้องทำล่ะนะครับ”
“...”ใบหน้าหวานเริ่มม้านขึ้นมาเมื่อรู้สึกได้ว่าคู่สนทนาจับท่าทางเขาได้ว่าไม่ได้มีความสุขกับการจมตำรานัก
จนกระทั่งนิ้วยาวๆจิ้มหนังสือที่ลู่หานเอาบังหน้าลง
“ไม่อยากคุยกับผม?... อา โอเค ยังไงซะไม่ค่อยมีใครอยากคุยกับผมเท่าไหร่”
“ผมเปล่า..แต่ผมแค่ไม่สนิทก็เลยทำท่าไม่ค่อยดี
ขอโทษฮะ”กล่าวเสียงอ่อยพลันหลบสายตาที่จ้องมองมาอย่างนิ่งๆนั้นราวกับไม่อาจต่อสู้
“ผมว่าผมเข้าใจ...ไม่มีใครมนุษย์สัมพันธ์ดีทุกคน..ผมเองก็เหมือนกัน
แต่ตอนที่คุณบอกผมว่าโล่งใจที่ผมพูดจีนได้ แปลว่าคุณพยายามได้ดีแล้วล่ะครับ”เซฮุนหยัดกายลุกขึ้น
ปล่อยให้ลู่หานมองตามรูปร่างและท่วงท่าเหล่านั้น...
ทั้งที่เป็นผู้ชายเหมือนกันแต่ทำไมเขาถึงไม่ดูดีแบบนี้นะ
“คุณจะไปบ่อน้ำร้อนเหรอครับ?”
“ก็อยากอยู่นะครับ”เซฮุนตอบ “แต่ดึกป่านนี้คงไม่มีคน
เหงาตายเลย เก็บไว้วันหลังก็ได้... แต่ผมว่าคุณขึ้นห้องจะดีกว่านะ
เว้นแต่ว่าคุณชอบอยู่คนเดียวจริงๆ”
“อ่า...”ริมฝีปากเล็กร้องค้างเมื่อใบหน้าคมคายนั้นหันไปมองโทรทัศน์ที่ถูกเปิดแก้เงียบ
ทว่าเซฮุนก็แค่ผงกศีรษะให้นิดหน่อยแล้วคว้าเป้กลับขึ้นไปข้างบน
เมื่อท่อนขายาวหายไปจากบันได ลู่หานก็ได้แต่นั่งนิ่งๆราวกับตุ๊กตา
ก่อนจะลุกขึ้นปิดทีวีและเก็บตำราไปอ่านชั้นบนเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศแทน
ใช่..แม้ว่าเขาจะไม่ชอบ แต่มันก็เป็นหน้าที่ หากคำพูดของจิงป๋อหรันได้ให้กำลังใจเกี่ยวกับอนาคต
พูดถึงความฝัน โอเซฮุนก็เหมือนกำลังเตือนเขาเรื่องหน้าที่และความเป็นจริงที่ต้องเจอ
ไม่มีทีท่าว่าห้องของเซฮุนจะเปิดออกมาอีกหลังจากที่เจ้าตัวอาบน้ำ
(และลู่หานก็พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่มองร่างสูงโปร่งผิวขาวจัดพันผ้าขนหนูผืนเดียวเดินใส่รองเท้าฟองน้ำเดินเช็ดผมกลับห้อง)
โอเซฮุนกลับไปทำท่าเฉยๆเหมือนเก่า จักรวาลของลู่หานในตอนนี้เลยมีก้อนเมฆสามก้อน
จิงป๋อหรันที่เหมือนดวงจันทร์ของดาวโลกที่อ่อนโยนเสมอแม้ในตอนกลางวันที่ไม่มีแสง
และโอเซฮุนที่เหมือนพลูโตผู้เย็นชา,หลุดออกจากกลุ่มนพเคราะห์
ไม่สุงสิงกับใครนอกจากพื้นที่ของตัวเอง
อาจเพราะตอนเด็กๆลู่หานชอบมองท้องฟ้าตอนกลางคืน
ชอบดูดาว ทำให้เขาชอบเปรียบเปรยความรู้สึกของตัวเองเป็นจักรวาล (แต่เขาไม่เคยเห็นตัวเองเป็นศูนย์กลาง)
หากความรู้สึกที่ว่างเปล่าถูกทดแทนด้วยอะไรหลายๆอย่างมันก็เหมือนจักรวาลที่สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
แต่ลู่หานไม่แน่ใจนักว่าคนอย่างเขาจะสามารถทำอะไรที่เรียกว่าสมบูรณ์แบบออกมาได้จริงๆหรือไม่…
“...”
เซฮุนที่ลุกขึ้นมากลางดึกโดยสวมเสื้อกล้ามกับกางเกงนอนขายาวก็เลิกคิ้วเมื่อเห็นว่าลู่หานได้ย้ายตัวมานอนหลับบนชั้นสองแทน
ร่างเล็กที่มีแต่หนังสือตำราน่าปวดหัวรายล้อมนั้นกำลังนอนหลับฝันถึงอะไรสักอย่างที่ชายหนุ่มไม่แน่ใจ
เขาไล่สายตาจนไปหยุดที่หน้าท้องของเด็กน้อยที่เสื้อยืดถลกจนเห็นเนินเนื้อ
เขาก้มตัวขยับดึงเสื้อปิดให้ ก่อนจะลงไปข้างล่างเหมือนไม่คิดจะสนใจอะไร
ทว่าพอชายหนุ่มกลับขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็วางนมสองกล่องลงกับโต๊ะ
หยิบกุญแจห้องของลู่หานขึ้นพร้อมกับรวบตำรามาไว้ในอ้อมแขน
เซฮุนเดินไปเปิดห้องวางพวกตำราและนมโดเรม่อนหนึ่งกล่องไว้กับโต๊ะ
ก่อนจะเดินมาอุ้มเด็กหนุ่มที่นอนหลับปุ๋ยไม่รู้เรื่องลงกับเตียง
ดวงตาคมทอดมองใบหน้าหวานที่หลับสนิท ไล่สายตาลงไปที่ช่วงคอก่อนจะเบือนหน้าไปทางอื่น
จัดท่าทางให้กับคนนอนให้เรียบร้อยก่อนจะวางกุญแจห้องให้ เซฮุนกดล็อคประตู
กลับมาที่ห้องของตัวเองพร้อมกับนมหนึ่งกล่อง
ดวงตาคมมองรองเท้าสำหรับวิ่งที่แขวนอยู่ ก่อนจะค่อยๆเอนตัวลงพร้อมกับดึงขากางเกงนอนขึ้นซึ่งปรากฏผ้ายืดพันแผลเอาไว้ที่ข้อเท้าจนมาถึงกลางแข้ง
โอเซฮุนล้มตัวลงนอนมองเพดาน...และจักรวาลของเจ้าตัวเองก็ว่างเปล่าไม่ต่างกันนัก...
*************
#YOUhhb