วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2558

(SF) Night of Halloween #halloween2015











Title : night of Halloween
Author : RUNAWAY05
Note : อ้างอิงพลอตส่วนหนึ่งจากเรื่องสั้นเรื่องนึงที่เคยอ่านตอนเด็กๆค่ะ (สักห้าหกปีมาแล้ว) ขออนุญาตเจ้าของต้นฉบับด้วยนะคะ


****************************************



ค่ำคืนวันนี้หลังจากที่มื้ออาหารง่ายๆในหอพักจบสิ้นลง เหล่านักศึกษาก็ใช้ช่วงเวลาที่เหลือไปกับการจุดเทียนไขสร้างบรรยากาศให้กับคืนวันฮาโลวีนนี้ มันเป็นเทศกาลที่นักศึกษาอย่างพวกเขาไม่ได้กลับไปบ้าน และไม่ได้ไปปาร์ตี้ที่ไหน เนื่องจากมีกิจกรรมของทางชมรมที่ต้องทำกันแต่เช้า เมื่อพายฟักทองที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อก่อนรั้วปิดนั้นหมด ก็มีเพียงแก้วน้ำหวานกับเสียงพูดคุยดังออกมาอีกเรื่อยๆ

หอพักของที่นี่มีสี่ตึก และเป็นห้องเดี่ยว ไม่มีระบบรูมเมทเพราะปัญหาของนักศึกษาทำให้ทางมหาวิทยาลัยตัดออก ยิ่งช่วงเทศกาลแม้จะสั้นๆแต่หลายคนก็เลือกที่จะกลับบ้านเพื่อออกไปสนุกกันอย่างเต็มที่ บางคนขี้เกียจก็อาศัยอยู่หอต่อ หรืออย่างพวกเขาที่มีงานต้องทำเลยต้องมาติดแหง็กกันอยู่ที่นี่ ลู่หานที่นั่งร่วมวงสนทนาก็เหยียดตัวพิงกับผนังนั่งกอดเข่า พลันหันไปมองชานยอลที่นั่งขัดสมาธิพังเสียงพูดคุยไปเรื่อยๆ ก่อนที่ดวงตากลมโตจะมองบยอนแบคฮยอน เจ้าของผมสีทองผู้ที่ยังพูดไม่หยุดอยู่ในกลุ่มร้องโวยวายขึ้นมา

“ทำไมพวกเราต้องมาอยู่แบบนี้ด้วยเนี่ย”

“เอาน่า...ก็กิจกรรมมีพรุ่งนี้ นายเลือกอะไรได้ล่ะ”คิมมินซอกที่นั่งหักเฟรนซ์ฟรายในมือเล่นก็เอ่ยขึ้นบ้าง

“แค่ปีเดียวน่า ดีกว่าโดนอาจารย์จื่อเทาเฉ่งเอานะ”อีกเสียงดังขึ้นจากจุนมยอนที่ขยับแว่นเล็กน้อย ก่อนจะมองจางอี้ชิงที่นั่งข้างๆคอยรินโคล่าให้ทุกคน

“แล้วทำไมพวกนายต้องมาอัดกันในห้องฉันด้วย”โดคยองซูผู้เป็นเจ้าของห้องพักห้องนี้บ่นขึ้นบ้าง

“ก็ห้องนายสะอาดที่สุดแล้วนี้ จะให้ไปห้องแบคฮยอนเหรอ อย่างกับรังหนู”จุนมยอนว่าพร้อมกับชานยอลที่เอ่ยเบาๆ

“โวยวายอะไรกันนักหนานะ”

“เฮ้อ..เอาน่า นี่สี่ทุ่มกว่าแล้วนะ มาเล่าเรื่องผีกันหน่อยเป็นไง”มินซอกขยับยิ้มซุกซนโดยที่อี้ชิงก็ส่ายหน้าพรืด

“อย่าน่า ยิ่งนอนคนเดียวอยู่”

“เฮ้ๆ วันฮาโลวีนแบบนี้ก็ต้องมีเรื่องผีน่ะแหล่ะของคู่กัน”แบคฮยอนตบเข่าฉาดพร้อมกับลู่หานที่พยักหน้าเห็นด้วย คยองซูลุกขึ้นไปหยิบผ้าห่มผืนใหญ่ และคนอื่นๆก็ช่วยกันเก็บข้าวของไปกองให้เป็นที่เป็นทาง เจ้าของห้องคลี่ผ้าห่มออกให้ทุกคนห่มขา เว้นเพียงลู่หานที่สอดเท้าเข้าไปเท่านั้น

“ไม่หนาวเหรอ?”ชานยอลถาม

“ไม่เป็นไรหรอก”ลู่หานตอบเบาๆ พร้อมกับมินซอกที่กระแอมไอ

“เรื่องผีที่ไหนไม่สนุกเท่าผีที่มหาลัยเราหรอก ฉันจำได้ว่าแม่บ้านเล่าให้ฟังว่าสิบกว่าปีก่อน มีนักศึกษาคนหนึ่งหน้าตาสะสวย แล้วก็พบรักกับอาจารย์คนนึง ทั้งสองคนแอบมีความสัมพันธ์กัน

ทุกคนเงียบกริบตั้งใจฟังมินซอกซึ่งกดยิ้มนิดหน่อย

“แต่แล้วความจริงก็ปรากฏ ภรรยาของอาจารย์เข้ามาเอาเรื่องนักศึกษาคนนี้ เธอนัดนักศึกษามาตกลงที่ดาดฟ้า แต่ตกลงกันไม่ได้ ก็เลยผลักนักศึกษาคนนั้นจนหัวเธอกระแทกกับเหลี่ยมแท็งก์ปูน ก่อนจะเอาศพเธอไปซ่อนในแท็งก์นั่นแหล่ะ ตรงตึกเก่าท้ายมหาลัยน่ะ”

“อื๋อ”ทุกคนส่งเสียงพร้อมกันโดยที่มินซอกก็เล่าต่อไป

“แต่มันไม่แค่นั้นน่ะสิ หลังจากที่พบศพของเธอแล้ว เขาบอกว่าตอนเย็นๆถ้าเดินไปบนชั้นเกือบถึงดาดฟ้า จะได้ยินเสียงเหมือนคนทุบผนัง แล้วก็มีเสียงหวีดร้องก้องเหมือนเสียงร้องในแท็งก์น้ำดังขึ้นมาตลอดเลย อยากไปลองกันมั้ยล่ะ?”

“โอ๊ย..พอเถอะ ฉันไม่ไหวแล้วนะ”อี้ชิงว่า

“ทำเป็นพูดไปเถอะ ที่คณะนายก็มีเรื่องเล่าเยอะเหมือนกันนี่”แบคฮยอนพูดใส่ “ตาใครต่อไปดี”

“ฉันแล้วกัน”คยองซูว่า “เรื่องมือใต้ต้นแอปเปิ้ลตรงป่าเก่าของพวกวิศวะน่ะ”

“...”เสียงกลืนน้ำลายดังเอื๊อก พร้อมกับลู่หานโน้มกายมาด้านหน้าอย่างตั้งใจฟัง คยองซูผ่อนลมหายใจนิดหน่อยพลันออกปากเนิบๆ

“นานมาแล้วล่ะ เป็นเรื่องเล่ารุ่นต่อรุ่น มีอาจารย์ผู้หญิงที่สอนคณะนั้นคนนึง.. เธอเป็นคนไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ แต่ในคณะที่เธอสอนเต็มไปด้วยเด็กหนุ่มๆหน้าตาดีเต็มไปหมด เธอค่อนข้างมีเงิน และมีลูกศิษย์จำนวนไม่น้อยที่ใช้ช่องทางนี้หลอกเงินจากเธอ ทำเป็นรักเพื่อให้เธอยอมควักค่าใช้จ่ายให้น่ะ”

“เลวชะมัด”มินซอกสบถ ในขณะที่จุนมยอนก็หน้าบึ้งไม่พอใจไปด้วย

“อาจารย์สาวผู้ผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งถูกหลอก ถูกหัวเราะให้อับอาย ก็เริ่มจัดการผู้ชายที่ทรยศความรักของเธอทีละคน ด้วยการเอาไขควงแทงไปที่คอหอยของพวกนั้น ถอดเสื้อผ้า ซ่อนศพเอาไว้ แล้วมาฝังรอบๆต้นแอปเปิ้ลทีละคน...ทีละคน...”

“ฉันกลัวจริงๆนะ”อี้ชิงครวญ

“จนในที่สุดอาจารย์คนนั้นก็สติแตก กินยาฆ่าตัวตาย จดหมายสั่งเสียของเธอเขียนว่า เธอรักต้นแอปเปิ้ลที่สุด ทุกคนคิดว่าเป็นต้นแอปเปิ้ลที่เธอชอบไปยืนดูนั่นล่ะ แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร จนเวลาผ่านไป มีช่วงปีหนึ่งที่ฝนตกติดต่อกันหนักเพราะพายุเข้า จนพายุหมด ภารโรงเลยสังเกตเห็นกระดูกมือคนโผล่ออกมารอบๆต้นแอปเปิ้ล ทั้งที่เหลือแต่กระดูก แต่ท่าทางมือเหล่านั้นเหมือนจะตะกุยขึ้นมาเอาชีวิตรอด”

“อึ๋ย!”ทั้งวงร้องพลันเบียนตัวแทบจะชิดกันโดยทันที แม้แต่ชานยอลกับลู่หานเองก็อดไม่ได้ที่เบียดกายหากันอย่างอัตโนมัติ

“จนได้ทำบุญกันไปนี่แหล่ะ ต้นเก่าเขาถอนทิ้งไปแล้ว ที่ยังอยู่น่ะต้นใหม่ แต่ดินเดิม รุ่นพี่ชอบแกล้งบอกให้รุ่นน้องไปเดินรอบๆ แล้วค่อยเล่าเรื่องนี้ทีหลัง ตอนฉันโดนน่ะช็อคไปเลย ไข้ขึ้นเลยแหล่ะ ต้องให้แม่พาไปโบสถ์ยกใหญ่”คยองซูไหวไหล่เล็กน้อย “จบแล้ว”

“ฟู่”ทุกคนผ่อนลมหายใจออกมาโดยไม่ได้นัดหมาย ก่อนจะหยิบเครื่องดื่มมาจิบให้หายตื่นเต้น บรรยากาศในวงเล่าเรื่องนั้นเงียบไปพักใหญ่ จนกระทั่งมินซอกเอ่ยปากออกมา

“จุนมยอน..นายมีเรื่องจะเล่ามั้ย?”

“ฉันเหรอ?... เล่าแทนคนอื่นได้มั้ยล่ะ ฉันสงสารเพื่อน”ร่างขาวนวลเมื่อต้องแสงเทียนเอ่ยปากเมื่อเห็นเพื่อนทำท่ายุกยิกอย่างอึดอัด

“เออๆ นายกับแบคฮยอนคนละเรื่องก็พอแล้ว ดึกแล้ว”เจ้าของไอเดียกล่าว จุนมยอนจึงยืดตัวนิดหน่อยจึงเอ่ยปากออกมาเรียบๆ

“ประตูแดง”

“อ่า..เรื่องนี้ฉันอยากฟังมากเลย”คยองซูว่า

“ชื่อเรื่องก็น่ากลัวแล้ว”ชานยอลบ่น

“เอาล่ะ เริ่มนะ... อย่างที่พวกนายรู้ สองสามปีที่ผ่านมานี้เอง มันเริ่มจากนักศึกษาชายคนหนึ่งซึ่งเป็นที่นิยมในมหาวิทยาลัย อาศัยอยู่หอสามห้องริมสุด หมอนี่เป็นเดือนคณะ สาวๆตามกรี๊ดไม่ห่างเลยล่ะ

“อ่า..ฉันเคยได้ยินชื่อหมอนั่นมาบ้างนะ”แบคฮยอนเปรย

“นั่นแหล่ะ เพราะความนิยมสูง ทำให้ตัวเองไม่กล้าเปิดเผยว่าที่จริงแล้วคบกับอาจารย์อีกคณะอยู่ แถมอีกฝ่ายยังเป็นผู้ชายด้วยกัน กลัวความนิยมจะตกประมาณนั้น ข้างห้องเคยเรียนเซคเดียวกับฉัน หมอนั่นเล่าว่าทะเลาะกันประจำ เสียงดังโครมคราม ประมาณเที่ยงคืนครึ่งอาจารย์คนนั้นจะเข้าไปที่ห้อง เสียงก็ไม่ชัดมากนะ ผนังหอพวกเราออกแบบมาเก็บเสียงอยู่บ้าง แต่เพื่อนคนนี้ก็ไม่กล้าเล่า เพราะถูกขอไว้ด้วยล่ะ ช่วยได้แค่ปิดปาก แต่ตอนทะเลาะกันไม่รู้จะไปห้ามยังไง”

“ต่อเร็วสิ”คิมมินซอกเร่งด้วยเสียงเบาราวละเมอ

น่า...ก็นั่นล่ะ เกิดเรื่องจนได้ นักศึกษาคนนั้นถูกอาจารย์ฆ่า ช่วงนั้นคนที่อยู่ข้างห้องย้ายไปหอนอก เลยไม่รู้ ศพก็ถูกทิ้งไว้ในห้องนั่นล่ะ จนอาจารย์คนนั้นผูกคอตายในหลายวันต่อมา แล้วก็เขียนจดหมายเรื่องที่ตัวเองฆ่านักศึกษาคนนั้นเอาไว้ แล้วตำรวจก็ตามไปเจอพร้อมกับห้องรอบๆที่ร้องเรียนได้กลิ่นซากศพพอดี”จุนมยอนถอนหายใจ “แต่ไม่จบเท่านั้นน่ะสิ ที่ประตูน่ะมีรอยมือของนักศึกษาคนนั้น ที่น่าจะพยายามตะกายหนีอาจารย์ ล้างเท่าไหร่ก็ไม่ออก ร้ายกว่านั้นคือไม่รู้ว่าใครจงใจแกล้งรึเปล่า เพราะประตูด้านหน้าก็เป็นรอยเลือดรอยเดียวกับประตูด้านในเหมือนกัน สุดท้ายก็ต้องให้ช่างมาทาสีแดงกลบ บทสรุปคือห้องนั้นก็ปล่อยร้าง คั่นห้องเก็บของอีกสองห้องเว้นระยะก่อนจะให้นักศึกษาอาศัยห้องถัดไป แต่ชั้นนั้นก็ไม่ค่อยมีคนอยู่เท่าไหร่แล้วล่ะ”

“ใช่ๆเวลาฉันไปหาเพื่อนที่ชั้นบน เดินผ่านชั้นนั้นทีไรฉันรู้สึกหนาวยะเยือกทุกที แถมสีประตูมองจากไกลๆยังเห็น”คยองซูว่าพลางลูบเนื้อตัวสีหน้าแสยง

“พอแล้วได้มั้ย ฉันไม่ไหวจริงๆนะ”อี้ชิงอ้อนวอนอีกครั้งในขณะที่ชานยอลกับลู่หานก็เบียดตัวเข้าไปชิดกันอีกรอบเรียบร้อย

“อีกเรื่องน่า .. แบคฮยอน ตานายแล้ว”มินซอกยังใจแข็งเอ่ยต่อไปทำเอาอี้ชิงต้องหนีไปซบเพื่อนก่อนจะดึงผ้าไปห่อตัวจนมันพ้นปลายเท้าของลู่หานไป แต่ลู่หานเองก็ไม่ได้ว่าอะไรนักเพราะเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายกำลังกลัว

“เรื่องที่ฉันจะเล่า..อ่า..มันไม่เชิงว่าผีหรอก...พวกนายคงเคยอ่านข่าวบ้างละมั้ง คลองข้างตึกใหญ่น่ะ”แค่เกริ่นหน้าคนที่เหลือก็ซีดหมด แบคฮยอนเม้มปากลันขยับตัวยืดตรง “ก่อนรุ่นเราเข้ามาเรียนสักปี... นักศึกษาคนนึงเป็นเดือนคณะเหมือนกัน แต่เป็นคนเรียบร้อย เป็นผู้ชายล่ะ แต่ก็มีผู้ชายผู้หญิงตามขอความรักไม่หยุด”

“...”

“หนึ่งในบรรดาคนที่มาขอความรักจากคนๆนี้ เป็นลูกชายผู้ช่วยผู้อำนวยการมหาวิทยาลัย ที่ตอนนี้ออกไปแล้วน่ะ ผู้ชายคนนั้นเป็นนักศึกษาแพทย์ แล้วก็ดูเข้ากันดี รุ่นพี่ที่เล่าให้ฟังบอกฉันว่าทั้งคู่ดูเหมาะกันมาก ถึงจะเป็นผู้ชายก็เถอะ ลูกชายผู้ช่วยก็เอาอกเอาใจตลอด ฝั่งนักศึกษาก็ไม่ได้ปฏิเสธ ทุกคนคิดแล้วว่าคงตกลงปลงใจกันแน่นอน เพราะดูว่าชอบพอกัน”

“ก็ดีแล้วนี่นา..แล้วทำไม?”จุนมยอนขมวดคิ้ว แม้แต่อี้ชิงที่ห่มผ้าจนเหลือแค่ตายังส่งเสียงเบาๆ

“แล้วยังไงต่อไปอะ”

“ทางพ่อแม่นักศึกษาไม่ยอมน่ะสิ เขาจะให้ลูกชายแต่งกับผู้หญิงเพราะนักศึกษาคนนี้เป็นลูกชายคนเดียว นักศึกษาเลยต้องตัดสัมพันธ์ไม่ให้ลูกชายผู้ช่วยมายุ่งด้วยอีก อีกคนก็เหมือนเป็นบ้าไปเลย คอยตามตื้อ คอยมาเฝ้าหน้าคณะ อีกคนก็ต้องใจแข็งเดินหนี เป็นทุกวันจนเพื่อนที่เรียนชั้นเดียวกันก็สงสาร”

“...”ลู่หานเกยคางกับหัวเข่านั่งฟังแบคฮยอนเล่าต่อไป

“จนมีอยู่วันนึง ที่มีกิจกรรมที่คณะจนดึก ทุกคนกลับบ้านกันตามปกติ แต่พอรุ่งเช้า..ก็มีคนพบศพนักศึกษาคนนั้น จมอยู่ตรงคลองข้างตึกใหญ่ เหมือนโดนฟันตามตัว..ส่วนอาวุธ...เป็นขวาน”

“...”

“สับค้างคาคอของลูกชายผู้ช่วยที่นั่งพิงตรงต้นไม้ เลือดสาดไปหมด”

“อื๋อ!!

“ที่เป็นข่าวก็ตอนนั้นแหล่ะ แล้วก็มีข่าวลือว่า ถ้าใครผ่านตรงนั้นจะได้ยินเสียงคนร้องไห้ เหมือนนักศึกษาคนนั้นยังไม่อยากตาย แล้วลูกชายผู้ช่วยก็คอยปลอบ เป็นเสียงกระซิบพูดคุยตอนกลางคืน เห็นว่าบริเวณนั้นตอนมืดๆลมจะแรงเป็นพิเศษล่ะ”

“โอย..พอแล้ว แค่เข้าห้องน้ำฉันก็ไม่มีแรงแล้ว”อี้ชิงพูดขึ้นอีกครั้งโดยมินซอกที่ซึมไปด้วยก็เอ่ยปาก

“อืม พอเถอะ ฟังแล้วดิ่งอะ”

“คืนนี้ฉันจะนอนหลับมั้ยเนี่ย”จุนมยอนบ่นพร้อมกับชานยอลที่ลุกขึ้นก่อนใครเพื่อนเพื่อยืดกายหลังจากอยู่นิ่งๆมานาน และคยองซูก็เอ่ยปากขึ้นเรียบๆ

“งั้นก็เอาแก้วมาบ้วนปากแล้วนอนด้วยกันก็ได้ ตอนเช้าค่อยแยกไป ฉันเองก็ไม่กล้านอนคนเดียวแล้วล่ะ”

“ได้ ตกลงตามนี้”แบคฮยอนตอบรับ ก่อนที่คยองซูจะเทน้ำยาบ้วนปากแจกให้ทุกคนแล้วก็พากันเข้านอน เตียงใหญ่เตียงหนึ่งเบียดกันห้าคนก็แทบล้น ไม่มีใครสนใจใยดีหรือหันมาถามลู่หานสักนิด ซึ่งเขาก็ได้แต่บ่นในใจว่าทำไมเพื่อนๆถึงใจร้ายใจดำกับเขาเหลือเกิน

“นี่ กลับกันเถอะ”ชานยอลที่เห็นว่าเตียงเต็มแล้วก็ว่า ลู่หานจึงพยักหน้าก่อนจะพากันออกมาตอนเที่ยงคืน ทั้งคู่เดินไปตามทางอย่างช้าๆและชานยอลก็เอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง “พรุ่งนี้นายจะไปอีกมั้ย?”

“ไปสิ”ลู่หานว่า “ฉันชอบฟังพวกนั้นคุยกัน ชานยอลไม่ชอบเหรอ?”

“เปล่าน่ะ ไปอีกก็ดี”ลู่หานเดินมาส่งชานยอลที่หอสาม เดินตามร่างสูงโปร่งซึ่งย่างกายช้าๆจนมาถึงหน้าห้อง และชานยอลก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากอีกครั้ง

“นายค้างที่นี่มั้ย? มืดแล้วนะ”

“ไม่เป็นไร ใกล้เที่ยงคืนครึ่งแล้วนี่”ลู่หานพูด “เดี๋ยวอาจารย์อี้ฝานก็มานี่แล้วล่ะ”

“งั้นฝันดีนะ”ชานยอลกล่าวตัดบทก่อนจะเข้าห้องไป เจ้าตัวพยายามทำทุกอย่างให้เบาที่สุดและไม่อาบน้ำหรือเปิดไฟ เพราะห้องรอบๆจะนอนไม่หลับถ้าชานยอลทำเสียงดังกลางดึก

ส่วนลู่หานนั้นหลังจากก้าวพ้นออกมาด้านนอก เงยหน้ามองห้องชานยอลที่ค่อนข้างสะดุดตาเพราะมีประตูสีแดงก็เดินออกจากหอสามมาเงียบๆเพื่อกลับที่พัก ร่างเล็กก้าวไปตามถนนจนจวนจะถึงตึกใหญ่ ใบหน้าหวานมองไปที่คลองข้างตึกนั้น สายลมพัดวูบมาอย่างเหน็บหนาว เขากอดตัวเองไม่เคลื่อนไหวใดใดจนรู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้ขึ้นมา เขาไม่ได้อยากร้องไห้ แต่จู่ๆพอมาอยู่ตรงนี้ทุกๆคืน... เขากลับรู้สึกอยากร้องไห้อย่างบอกไม่ถูก

“ร้องไห้อีกแล้วเหรอครับ...”เสียงๆหนึ่งกระซิบที่ริมหูพร้อมกับสัมผัสอบอุ่นของอ้อมกอด ลู่หานหลับตาลงก่อนจะพิงชายหนุ่มร่างสูงดวงตาคมที่ทอดมองอีกฝ่ายอย่างอาทร “ไม่ต้องร้องนะครับ..ผมอยู่นี้แล้ว...ผมจะปกป้องรักของเรา”

“ผมไม่เป็นไร..เซฮุน”ลู่หานสะอื้นฮัก กอดกายตนอย่างหนาวลมเพราะชุดของเขานั้นเปียกชื้นและขาดเพราะของมีคม โดยที่ชายด้านหลังนั้นสวมเชิ้ตสีขาวกางเกงสีดำลำคอแดงฉานไปด้วยเลือดแต่ก็ยังโอบกอดลู่หานเอาไว้ราวปกป้อง ร่างของทั้งสองคนค่อยๆจางหายไปกับพงหญ้าแถวคลองข้างตึกท่ามกลางสายลมที่ยังพัดวูบจนสะท้าน ชายคนเดิมเอ่ยประโลมแผ่วพร้อมกับสุนัขที่หอนรับเกรียวกราวจนทำให้คืนนี้น่าประหวั่นสำหรับใครหลายๆคน

“ผมอยู่นี่แล้ว...ผมอยู่กับคุณ...จะไม่มีใครแยกพวกเราได้อีก...พวกเราจะไม่แยกจากกัน....”




trick or treat?
#เรื่องเล่าฮลว



วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2558

หมวย ฉบับพิเศษ : กลับบ้าน












ทันทีที่เก๋งคันสีครีมขาวดับเครื่องลงที่บ้านหลังหนึ่ง ชายหนุ่มก็เหลียวมองลวินท์ที่สอดส่องสายตาไปรอบๆ อย่างคิดถึง สุหฤทธิ์ก้าวขาลงเมื่อคนขับรถจากทางบ้านเปิดประตูเข้ามาให้ คนใช้ต่างเข้ามาขนข้าวของเข้าไปในบ้าน ชายหนุ่มร่างสูงผมสีทองธรรมชาติ พาคนตัวเล็กๆขยับฝีเท้าลงจากรถพร้อมกับเด็กชายคนหนึ่งที่วิ่งเข้ามาหา

“พี่ชุน! สวัสดีฮะ”

“สวัสดีครับคุณแจ็ค ตัวสูงขึ้นเยอะเลยนะ”ลูบศีรษะน้องชายที่เกาะอาวตนแน่นหนึบ พร้อมกับดวงตาใสแจ๋วหันไปมองลวินท์ที่ยืนมองตาปริบๆไม่ไกล เด็กชายแย้มริมฝีปากก่อนจะพนมมือไหว้ชายหนุ่มร่างกะทัดรัดอย่างนอบน้อม

“สวัสดีครับพี่หมวย”

“จำพี่ได้ด้วย”ใบหน้าหวานขยับยิ้ม “อยู่ป.ไหนแล้วครับ?”

“เกรดห้าแล้วครับ”ลวินท์เอียงหน้าเล็กน้อยเมื่อนึกได้ว่าบ้านนี้ส่งลูกชายเรียนนานาชาติ คุณแจ็คส่งยิ้มพร้อมกับจูงมือพี่ๆทั้งสองเข้ามาในบ้านก่อนจะพบหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งที่แม้เวลาจะผ่านไปก็ไม่อาจทำอะไรหล่อนได้ คุณนายลดายังมีผมยาวสีดำขลับ มีดเปียไพล่บ่า เรือนผมเหนือใบหูผูกด้วยดอกจำปี ดวงตางามนั้นหันมามองคนทั้งสองก่อนจะวางพัดในมือลง ไม่มีคำทักใดมาจากคุณนายลดาเสียนอกจากเข้ากอดลวินท์ไว้จนจมอก พร้อมกับสองพี่น้องที่มองหน้ากันยิ้มๆเพราะรับรู้ความรู้สึกของผู้เป็นมารดามาตลอด

“นึกว่าชีวิตนี้จะไม่ได้เจอเธอเสียแล้ว”หล่อนพูดเสียงเจือเครือเล็กน้อย พร้อมกับลวินท์ที่หลับตาแน่นอยู่พักหนึ่ง

“หากเป็นอย่างนั้นผมคงเสียดายแย่ครับ สวัสดีครับคุณนาย...”พูดไม่ทันจบดีก็โดนตีเบาๆที่มือดวงตางามเบิกถลึงเล็กน้อยพลันเอ่ยปาก

“จนป่านนี้เรียกแม่ได้แล้วล่ะ มาถึงขั้นนี้แล้ว”

“ครับ”เสียงแผ่วเบาตอบรับก่อนจะเรียกอ้อมแอ้ม “คุณแม่”

“มาเหนื่อยๆไปพักผ่อนก่อน เดี๋ยวแม่ให้เด็กเอาน้ำใบเตยไปให้ จะให้สดชื่นขึ้น”เอ่ยกล่าวใส่เหมือนกับลืมว่าลูกชายคนโตยังยืนหัวโด่เด่ สุหฤทธิ์ขยับยิ้มพลันออกปากเนิบนาบ

“ไม่เจอลูกชายตั้งนาน จะไม่คิดถึงหน่อยเหรอครับคุณลดา”

“ฉันเบื่อหน้าเธอแล้ว”สัพยอกโดยรอยยิ้มพร้อมกับโอบสมาชิกคนใหม่ของบ้านไปโอ๋จนสองพี่น้องต้องยักไหล่มองหน้ากันยิ้มๆ

“โอเคครับ พ่อไปไหนแล้ว”เอ่ยถามมารดาที่ยังลูบผมลวินท์ซึ่งทำหน้าไม่ถูก ซึ่งชายหนุ่มก็มองว่าน่ารักดี

“อยู่สวนหลังบ้านนั่นแหล่ะ ว่ายน้ำอยู่บ่อบัว วันนี้คงได้ต้มกะทิสายบัวกินอีกอย่าง” ชายหนุ่มพยักหน้ารับเมื่อมารดาหันมาสำทับ “ไปพักผ่อนก่อนเถอะ คุณแจ็คอย่าลืมเก็บตำราไปชั้นบนด้วยนะคะ”

“ครับ”สองพี่น้องรับคำพร้อมกัน และเป็นคุณแจ็คที่เดินไปเก็บหนังสือเรียนบนโต๊ะไม้หน้าบ้าน และตัวเขาซึ่งพาคนรักขึ้นมาชั้นบน กระเป๋าถูกจัดวางไว้หน้าห้องเพราะเดิมทีเจ้าของห้องไม่อนุญาตให้คนใช้เข้าไปโดยพลการ

“ขนเข้าไปวางก่อนก็ได้ครับ ยังไงก็แค่เอามาเก็บอยู่แล้ว เขาพูดพลางเลือนกระเป่าเข้าไปในห้องก่อนจะล้มตัวลงนอน “เฮ้อ...เมื่อยชะมัด”

“กับข้าวที่แม่ฝากมาล่ะครับ”ลวินท์เอ่ยถามชายหนุ่มที่นอนเอกเขนกอยู่ก่อนที่เสียงทุ้มๆจะดังขึ้น

“แม่บ้านยกไปแล้วครับ มาให้นอนกอดหน่อยเร็ว”นอนชูแขนไปมาเหมือนเด็กเล็กๆทำเอาลวินท์แย้มริมฝีปาก เขาขยับกายลงพลันนอนลงข้างๆให้โนดึงไปกอดไปหอมอัตโนมัติ

“พี่ช้ำหมดแล้วครับคุณชุน เล่นฟัดพี่เป็นแมวตะปบไหมพรมแบบนี้”เจ้าตัวว่า “จริงสิ...ไข่ต้มล่ะ?”

“ลืมหน้าพี่แล้วมั้งครับ”แสร้งว่าพลันมองปฏิกิริยาของอีกฝ่ายที่เบะหน้าออกมาทันควัน

“ไม่นะ...”

“ล้อเล่นนะครับ ไข่ต้มจะลืมแม่มันได้ยังไง สงสัยตามพ่อไปที่สวนนั่นแหล่ะครับ”แกล้งเสร็จก็กอดปลอบคนที่ทำหน้างอพร้อมกับลูบหลังไปมา ลวินท์เขม่นตามองคุณชุนของตนอยู่พักก่อนจะพยักหน้ายอมรับแต่โดยดี

“ไม่เจอพี่ร้องไห้แน่ๆ”

“แม่เลี้ยงมันดีจะตายครับ มาเจออาจจะจำไม่ได้แล้วก็ได้ เพราะจากแมวมันก็กลายเป็นหมีดำไปแล้ว”กล่าวว่าพลันหัวเราะในลำคอเบาๆ ลวินท์เหลือกตาขึ้นฟ้า พร้อมกับมองใบหน้าของชายหนุ่มอีกหนหนึ่ง

“คิดถึงจังนะครับ”

เพียงแค่ประโยคสั้นๆกลับทำให้รู้สึกถึงความหมายแทบจะทั้งหมด ดวงตาคมจดจ้องใบหน้าหวานหยดนั้นพลางขยับเข้าหอมหน้าผากอย่างบางเบา พร้อมกับเสียงของชายหนุ่มที่เอ่ยกล่าวอย่างนุ่มนวล

“ผมก็คิดถึงพี่ครับ”

“แง้ว”

ไม่ทันไร เสียงเรียกร้องที่ริมหน้าต่างก็ดังขึ้น ชายหนุ่มเหลียวหน้าไปก็พบไข่ต้มนั่งเอาขาหน้าแปะหน้าต่างกระจกโยที่คุณลวินท์ก็ลุกขึ้นพรวดพลันดิ่งไปหาแทบจะทันที เขาลุกขึ้นก้าวตามพลันเปิดหน้ต่างให้เจ้าแมวดำตัวอวบอ้วนเข้ามาหาเจ้าของ

“โธ่..ไข่ต้ม..เด็กน้อย ทำไมตัวย้วยแบบนี้เนี่ย”มันดมๆฟุดฟิดก่อนจะไถหัวอ้อน ฝ่ามือใหญ่ลูบขนแผ่นหลังมันบางเบาแล้วจึงปิดหน้าต่างลง พร้อมกับคนตัวเล็กที่อุ้มมันหมุนไปรอบๆ “ดูซิ..เป็นหมีจริงๆด้วย... คุณชุน”

“ครับ?”

“พี่เอาไข่ต้มไปเล่นบนเตียงได้มั้ย”หากเป็นคำขอคนอื่นชายหนุ่มคงตอบว่าไม่ หากนี่คือลวินท์...หรือพี่หมวยคนดีของน้องชุน ที่ขอไม่พอมีสายตามาเป็นตัวช่วยเสริม ทำให้ชายหนุ่มพยักหน้าตอบรับด้วยรอยยิ้ม

ลองไม่ให้สิ...อดนอนกอด...ไม่พอคืนนี้คงหนีไปนอนห้องอื่น...

“ไข่ต้มอยากนอนแล้ว มานอนกันครับ”เจ้าตัวส่งเสียงใสแต่อีกคนอยากจะจ้องเพดานสักห้านาที แผนจะฟัดให้หนำใจต้องพับไปก่อน เพราะต้องกลับไปนอนแบบพ่อแม่ลูกอีกครั้ง บางครั้งเขาก็ยังคิดถึงอดีต แต่ก็รู้ดีว่าถ้าจมกับอดีตเขาก็จะไม่มีทางอยู่กับอนาคต จริงอยู่ที่ก่อนนี้เขาอยู่กับอดีตที่มีอีกคนอยู่ข้างๆ แต่ในเมื่อปัจจุบันนี้เขามีอีกคนข้างกาย ดังนั้น อดีตก็เป็นความทรงจำดีๆแต่ไม่มีผลต่อจากนี้ของเขาอีกต่อไป

เขาขยับกายตะแคงตัว ต่างคนต่างนอนมองเพดานโดยมีเจ้าไข่ต้มนอนคุดคู้คั่นกลาง เขามองลวินท์ยื่นแขนชูไปบนความว่างเปล่านั้นพร้อมกับเสียงอีกฝ่ายที่เปรยออกมาเบาๆ

“คุณชุน...ทั้งที่ระหว่างนั้นจะไปมีชีวิตใหม่ก็ได้ แต่ก็ยังรอพี่อยู่...พอคิดแบบนี้แล้วพี่คิดว่าคุณชุนดีเกินไปแล้ว... คุณชุนดีกับพี่มากเลย”เอ่ยเบาพร้อมกับนิ้วยาวที่แตะลงปรางแก้ม

“ผมดีกับพี่เพราะผมรักพี่... ผมก็ธรรมดา ไม่ได้ดีกับทุกคนหรอกครับ”ชายหนุ่มยิ้ม “เอาไว้พี่ได้ของจากริณแล้วจำไม่ได้ ผมไปหาก็จำไม่ได้ หรือพี่พร้อมจะมีคนอื่น ตอนนั้นผมถึงจะไป”

“...”

“ผมก็แบบนี้ของผมแหล่ะครับ”ว่าเท่านั้นพลันเอื้อมมือเข้ากุมมือเอาไว้ แล้วจึงวาดแขนโอบอีกฝ่ายเข้าหา ชายหนุ่มลูบแผ่นหลังบางสักพักก็นิ่งหลับไปโดยง่าย ลวินท์เองพอมองเห็นอีกคนนอนหลับพักผ่อนไปแล้ว จึงได้ยอมหลับตาพักผ่อนลงไปเสียบ้าง แต่ก็ยังเกาะกุมฝ่ามือคุณชุนของตนเอาไว้ราวกับกลัวหาย

ผ่านไปสักพักร่างสูงก็รู้สึกตัวตื่น หมีดำได้โดดแผล็วหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบได้ มองคนตัวเล็กๆคู้กายหลับอยู่ข้างตัวจึงก้มจูบขมับเบาพร้อมกับลุกขึ้นล้างหน้าและลงไปด้านล่าง บรรยากาศที่บ้านสาทรไม่ได้เก่าลงไปกว่าเดิมนัก แต่ยังดูใหม่เพราะมีการต่อเติมและตกแต่งอยู่เรื่อยๆ ซึ่งเจ้าสัวสมคิดคนเดิมก็นุ่งผ้าขาวม้าใส่เสื้อน้ำมันเครื่องไปทาสีรั้วเหล็กดัดกับพวกลูกน้อง ถูกๆผิดๆก็เอาสนุกสนาน โดยคุณแจ็คก็ใส่ผ้าปิดปากไปร่วมด้วยช่วยกัน เขาสาวเท้ายาวๆไปหามารดาที่รอดูคนใช้เตรียมของสดให้ปรุงก่อนจะสวมกอดเอวแล้วหอมแก้มเบาๆ

“ตาเถร! แม่ตกใจหมด นึกว่าพ่อเกือบหันไปตบแล้วเชียว”

“แม่จะตีชุนเหรอครับ”เอาหัวไถๆบ่ามารดาเหมือนยังเล็กทำเอาคุณนายลดาแย้มริมฝีปากไปพร้อมกับคนใช้ทั้งหลายที่เหลือบมอง

“หมวยยังไม่ตื่นเหรอ?”

“ให้เขานอนเถอะครับ ตื่นมาใส่บาตรกับทางบ้านตั้งแต่ตีสี่ครึ่ง ผมแอบนอนไปตอนสาย แต่เขาดูงานที่อู่เลยไม่ได้นอนอีก”

"ทางโน้นว่ายังไงบ้างล่ะ"มารดาเอ่ยถามชายหนุ่มที่แย้มริมฝีปากยิ้มเล็กน้อย

“เขาว่าแล้วแต่บ้านเราครับ พวกท่านไม่ได้ว่าอะไร ถ้ายังจะแต่งกันอยู่แล้ว ถ้าเห็นว่ามันสมควรเขาก็ตกลงครับ”ดวงตาคมชายลงเล็กน้อย “แล้วพวกลุงใหญ่...”

“ช่างเขา ไม่ใช่ญาติเรา ถือว่าเป็นแค่คนสกุลพ้อง แม่ยอมเขามาเยอะแล้ว ชุนกับหมวยต้องทำเด็กมาเลี้ยงเป็นผู้ชาย สามคนด้วยนะ แม่จะทำสายตระกูลแม่ใหม่เหมือนกัน สกุลพ่อ สกุลแม่ สกุลบ้านหมวยด้วย”

“อื้อหือ...ทำหนักอยู่นะครับเนี่ย”แสร้งทำหน้าเป็นใส่มารดาจนได้ฝ่ามือมาผัวะหนึ่ง

“อะไรหนัก ประเดี๋ยวเถอะ”

“หมายถึง ค่าใช้จ่ายเยอะ ต้องทำงานหนักครับ”ทำปากเป็ดใส่มารดาไปอีกหนจนคุณนายลดาต้องเบ้ปากหัวเราะ

“จริงเร้อ...หมวยตัวเล็กนิดเดียว ไปฟัดพี่เขามากเดี๋ยวจะช้ำไปก่อนหรอก”

“ผมก็เบามือแล้วนะแม่...”

“จำได้ว่าตอนเด็กๆเราน่ะผอมกะหร่องกว่าพี่เขาอีก ได้พ่อมาเยอะสิโตเอาโตเอา”หล่อนเบนหน้าไปมองเมื่อเห็นว่าคนที่กำลังพูดถึงกำลังเดินเข้ามาทำท่าเลียบๆมองๆ

“มีอะไรให้ผมช่วยรึเปล่าครับ?”

“มีจ้า มาเลย เข้าครัวกันเลย เดี๋ยวจะไปอยู่ที่แคนาดานี่ อย่าให้ตาชุนโทรมาบอกอยากอาหารไทยนะ”คุณนายผละออกจากลูกชายเข้าไปดึงคนตัวเล็กๆที่หน้าเหวอเมื่อเข้าเปิดครัวกับคุณนายอีกครั้ง ชายหนุ่มนั่งรอที่โต๊ะทานข้าวยิ้มๆพร้อมกับน้ำกระเจี๊ยบแช่เย็นก็เข้ามาวางเสิร์ฟ หลังจากที่เจ้าสัวและคุณแจ็คไปอาบน้ำเรียบร้อยดี ก็ลงมานั่งรอตามกลิ่นอาหารที่ลอยมาพร้อมกับเสียงสอนทำกับข้าวของคุณนาย

“เขาก็แสดงความรักของเขาแบบนั้นแหล่ะ แม่เขาไม่มีลูกสาว ก็เลยจับหัด ตายไปไม่รู้จะเอาตำราไปไว้ไหน”เจ้าสัวกล่าวพร้อมกับจิบน้ำรอ “เดี๋ยวกลับไปที่นู่น ชุนก็บอกปู่นะว่าเดี๋ยวตาแจ็คจบเกรดเก้าพ่อจะให้ไปเรียนอยู่นั่น เราก็กลับมาพอดี บ้านนี้ต้องมีลูกอยู่อย่างน้อยคนนึงล่ะ แม่ขี้บ่นขนาดนี้ หูพ่อชา”

“คุณปู่ก็ถามอยู่เหมือนกันครับ ตอนนั้นผมยังไม่กล้าตอบเพรากลัวน้องไม่พร้อม”เขาหันไปหาเด็กชายที่นั่งเช็ดช้อนเช็ดส้อมรอไปตามประสา “คุณแจ็คอยากไปอยู่กับคุณปู่หรือยังครับ?”

“แล้วแต่คุณพ่อกับพี่ชุนฮะ ถ้าว่าดี ผมก็ว่าดี”

“เนี่ย มันน่ารักแบบเนี้ยะ”หันไปดึงแก้มลูกชายคนเล็กพร้อมกับลูกชายตนโตที่มองอย่างเอ็นดู ไม่นานกับข้าวก็ถูกจัดวาง ทั้งต้มสายบัวปลาทูกลิ่นกรุ่น ปลานิลทอดน้ำปลา ผัดผักรวมที่ใช้น้ำมันน้อยๆพอขลุกขลิกแต่เข้มข้นจนแค่คลุกข้าวก็อร่อย ตามด้วยน้ำพริกกะปิที่ตำด้วยกะปิอย่างดี ไม่ใช่กะปิโคลนกับหลนกุ้งร้อนๆจัดลงถ้วย แนมด้วยผัดสดสวนหลังบ้านกับผักต้ม และน้ำปลาพริกสดรสจัดจ้าน แค่ซอนพริกขี้หนูหอมใส่น้ำปลาดีกับมะนาว ปรุงรสให้กลมกล่อม เดาะชูรสสักน้อย ฝานกระเทียมใส่ไม่ต้องละเอียด ดองน้ำปลาไว้สักพักก็สำเร็จไปได้หนึ่งมื้อ กลิ่นควันลอยขึ้นพร้อมกับข้าวหอมมะลิอย่างดีเรียงตัวสวยถูกตักแบ่งสำหรับห้าที่

“เดี๋ยวรอข้าวลืมผัวของพ่อเกี่ยวเสร็จก่อน จะให้แม่หุงกินดู”

“กินทั้งกระสอบหญิงก็ไม่ลืมคุณพี่หรอกค่ะ อย่าให้ลืมแล้วกัน แล้วจะอดกินกับข้าวแบบนี้ จะไล่ไปซื้อแกงถุง”คุณนายว่าพลางค้อนประหลับหระเหลือกใส่เจ้าสัวที่รีบเกาะแขนทันที

“โธ่...ใจร้ายกับพ่อจัง”

“คุณพี่ชอบหยอกหญิงแบบนี้นี่คะ”ว่าพลางหน้าบึ้งแต่ก็ยอมห่อผักราดน้ำพริกให้สามีกิน ชายหนุ่มมองพ่อแม่ตนเองก่อนจะหันมามองพี่หมวยที่อมยิ้มตามไปด้วย เพราะบ้านของเขาถึงจะเป็นตระกูลใหญ่ แต่เป็นครอบครัวเล็กๆไม่ต่างกับอีกฝ่ายนัก เห็นพ่อออกปากว่าพรุ่งนี้จะพาลูกน้องไปจับปลาช่อนในนาสวนผสม เอามาทำเมี่ยงปลาก็ดี ปลานึ่งก็ดี ส่วนคุณนายก็ว่าพรุ่งนี้จะทำข้าวแช่ให้กินกัน ทำเอาคุณแจ็คชอบอกชอบใจ แต่ดูพี่หมวยจะเหงื่อตกเพราะว่าต้องไปเป็นลูกมือทำเครื่องเคียง

หลังจากทานสัปปะรดหวานฉ่ำเป็นของหวานล้างปากก็แยกย้ายแปรงฟันนอน คุณนายก็ไปอุ่นน้ำเต้าหู้ให้สองพ่อลูกที่ทำท่าโอดโอยไม่อยากกิน แต่เขากับคุณลวินท์ชินเสียแล้วเพราะทานตั้งแต่ทำงานที่อโศก เขากล่าวราตรีสวัสดิ์ก่อนจะพาอีกฝ่ายกลับมาที่ห้อง พร้อมกับพี่หมวยที่เอ่ยขึ้นมาเบาๆ

“ถ้าสองบ้านไปเที่ยวด้วยกันน่าจะสนุกนะครับ พี่อยากให้ไปเที่วด้วยกันบ้าง”

“นั่นสินะครับ ระหว่างรอเล่มพี่ ไปเที่ยวด้วยกันก็คงดี ชวนเด็กๆบ้านพี่ไปด้วย”เขาว่า เพราะตอนกลับไปที่บ้านพี่หมวยที่เยาวราช เขาก็พูดคุยกับพวกเด็กช่างก็พบว่าถูกคอกันอย่างบอกไม่ถูก พวกเด็กวัยนี้กำลังมีไฟ มีอิสระทางความคิด จะไต่ถามอะไรก็ได้คำตอบที่ไม่ต้องจริงจังกับสังคมมากนัก เลยกลายเป็นต่างฝ่ายต่างถูกคอกันไปโดยปริยาย

“คุณชุนไปสนิทกับพวกไอ้น้องบี้แล้วเหรอครับ ว่าแล้วเชียว”ใบหน้าหวานหยดนั้นขยับยิ้มก่อนจะกุมมือของชายหนุ่มเอาไว้ “คุณชุน”

“ครับ?”

“พี่...ทำให้คุณชุนมีความสุขเหมือนก่อนหน้านี้รึเปล่าครับ? ตรงไหนที่พี่ขาดไป บอกพี่ได้นะครับ...บางทีพี่อาจจำได้ไม่หมดมากนัก ... กับบางเรื่องพี่ก็ยังงงๆอยู่”ริมฝีปากเล็กๆย่นยู่ และเขาก็ทำได้แค่ยิ้มให้เหมือนคนที่ฟังภาษาไม่ออก

“อันไหนจำไม่ได้ พี่ถามผมได้เลยนะครับ ผมจะอธิบายทุกอย่างให้เอง ผมบอกพี่แล้วว่าผมจะทำให้พี่จำได้”

“...”

“ผมรักพี่...แค่เราอยู่ข้างๆกัน ขาดบ้างเกินบ้าง แต่มันจะไม่เป็นไรครับ”เขาส่งยิ้มให้ชายที่ชื่อลวินท์ที่เลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะแย้มริมฝีปากตาม

“ครับ”

“จริงสิครับ...แม่บอกว่า ให้เรามีลูกสักสามคน เป็นสกุลพ่อคนนึง สกุลแม่คนนึง สกุลพี่อีกคน”เข้าโน้มหน้าลงไปหาอีกฝ่ายที่มองเขาพลางเบิกตาเล็กน้อย

“ครับ?”

“สามคนเลยนะครับ...รีบทำกันเถอะ”กล่าวชวนพลันรวบร่างเล็กๆลงที่นอน พร้อมกับคนตัวน้อยที่ยิ้มจนตาหยี พวกเขาสองคนส่งยิ้มให้กันและเป็นตัวเขาที่เริ่มแนบริมฝีปากบดจูบลงไป รสจุมพิตตอบรับนั้นอ่อนหวาน..มากเสียจนเด็กชายสุหฤทธิ์ในวัยเด็กไม่มีทางจินตนาการออกเป็นแน่ว่าริมฝีปากของพี่หมวยผู้ให้ความคุ้มครองในวัยเยาว์จะมีจูบที่อ่อนหวาน มีการกระทำที่ลึกซึ้ง มีหัวใจที่ไว้ใช้สำหรับความรู้สึก มีสิ่งที่สามารถทำให้คนอย่างเขารักจนไม่สามารถเลิกได้ ทั้งที่ตัวเขาเองก็ยังประหลาดใจเพราไม่เคยคิดว่าว่าชีวิตนี้จะรักใครคนหนึ่งได้ยาวนานมากได้ขนาดนี้...



ตอนนี้สุหฤทธิ์ในวัยจวนสามสิบมีเป้าหมายใหม่...
จะเป็นบ้านของหัวใจให้กับลวินท์ไปจนกว่าลมหายใจจะหมดลง...





:D
จบสเปแล้วต้ะ
ปิดเรื่องแล้วน้า ; ^ ; ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาตลอดคับ
เป็นฟิคง่ายๆแต่เต็มไปด้วยการเปรียบเทียบและกดดันแบบหนักหน่วง (สังเกตว่าตอนแรกอัพแล้วหายไป เหนื่อยใจ ๕๕๕๕)
ขอบคุณอีกครั้งที่ติดตามรับชมจย้า รายละเอียดอุดหนุนออกตอนดึกๆนะก๊ะ

รัก
สุหฤทธิ์ ลวินท์
๒๕/๑๐/๒๕๕๘



แท็ก #คุณชุนพี่หมวย อย่าลืมหนาจา