Title : night of Halloween
Author : RUNAWAY05
Note : อ้างอิงพลอตส่วนหนึ่งจากเรื่องสั้นเรื่องนึงที่เคยอ่านตอนเด็กๆค่ะ
(สักห้าหกปีมาแล้ว) ขออนุญาตเจ้าของต้นฉบับด้วยนะคะ
****************************************
ค่ำคืนวันนี้หลังจากที่มื้ออาหารง่ายๆในหอพักจบสิ้นลง
เหล่านักศึกษาก็ใช้ช่วงเวลาที่เหลือไปกับการจุดเทียนไขสร้างบรรยากาศให้กับคืนวันฮาโลวีนนี้
มันเป็นเทศกาลที่นักศึกษาอย่างพวกเขาไม่ได้กลับไปบ้าน และไม่ได้ไปปาร์ตี้ที่ไหน
เนื่องจากมีกิจกรรมของทางชมรมที่ต้องทำกันแต่เช้า เมื่อพายฟักทองที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อก่อนรั้วปิดนั้นหมด
ก็มีเพียงแก้วน้ำหวานกับเสียงพูดคุยดังออกมาอีกเรื่อยๆ
หอพักของที่นี่มีสี่ตึก และเป็นห้องเดี่ยว
ไม่มีระบบรูมเมทเพราะปัญหาของนักศึกษาทำให้ทางมหาวิทยาลัยตัดออก ยิ่งช่วงเทศกาลแม้จะสั้นๆแต่หลายคนก็เลือกที่จะกลับบ้านเพื่อออกไปสนุกกันอย่างเต็มที่
บางคนขี้เกียจก็อาศัยอยู่หอต่อ
หรืออย่างพวกเขาที่มีงานต้องทำเลยต้องมาติดแหง็กกันอยู่ที่นี่
ลู่หานที่นั่งร่วมวงสนทนาก็เหยียดตัวพิงกับผนังนั่งกอดเข่า พลันหันไปมองชานยอลที่นั่งขัดสมาธิพังเสียงพูดคุยไปเรื่อยๆ
ก่อนที่ดวงตากลมโตจะมองบยอนแบคฮยอน เจ้าของผมสีทองผู้ที่ยังพูดไม่หยุดอยู่ในกลุ่มร้องโวยวายขึ้นมา
“ทำไมพวกเราต้องมาอยู่แบบนี้ด้วยเนี่ย”
“เอาน่า...ก็กิจกรรมมีพรุ่งนี้
นายเลือกอะไรได้ล่ะ”คิมมินซอกที่นั่งหักเฟรนซ์ฟรายในมือเล่นก็เอ่ยขึ้นบ้าง
“แค่ปีเดียวน่า ดีกว่าโดนอาจารย์จื่อเทาเฉ่งเอานะ”อีกเสียงดังขึ้นจากจุนมยอนที่ขยับแว่นเล็กน้อย
ก่อนจะมองจางอี้ชิงที่นั่งข้างๆคอยรินโคล่าให้ทุกคน
“แล้วทำไมพวกนายต้องมาอัดกันในห้องฉันด้วย”โดคยองซูผู้เป็นเจ้าของห้องพักห้องนี้บ่นขึ้นบ้าง
“ก็ห้องนายสะอาดที่สุดแล้วนี้
จะให้ไปห้องแบคฮยอนเหรอ อย่างกับรังหนู”จุนมยอนว่าพร้อมกับชานยอลที่เอ่ยเบาๆ
“โวยวายอะไรกันนักหนานะ”
“เฮ้อ..เอาน่า นี่สี่ทุ่มกว่าแล้วนะ
มาเล่าเรื่องผีกันหน่อยเป็นไง”มินซอกขยับยิ้มซุกซนโดยที่อี้ชิงก็ส่ายหน้าพรืด
“อย่าน่า ยิ่งนอนคนเดียวอยู่”
“เฮ้ๆ
วันฮาโลวีนแบบนี้ก็ต้องมีเรื่องผีน่ะแหล่ะของคู่กัน”แบคฮยอนตบเข่าฉาดพร้อมกับลู่หานที่พยักหน้าเห็นด้วย
คยองซูลุกขึ้นไปหยิบผ้าห่มผืนใหญ่ และคนอื่นๆก็ช่วยกันเก็บข้าวของไปกองให้เป็นที่เป็นทาง
เจ้าของห้องคลี่ผ้าห่มออกให้ทุกคนห่มขา เว้นเพียงลู่หานที่สอดเท้าเข้าไปเท่านั้น
“ไม่หนาวเหรอ?”ชานยอลถาม
“ไม่เป็นไรหรอก”ลู่หานตอบเบาๆ
พร้อมกับมินซอกที่กระแอมไอ
“เรื่องผีที่ไหนไม่สนุกเท่าผีที่มหาลัยเราหรอก
ฉันจำได้ว่าแม่บ้านเล่าให้ฟังว่าสิบกว่าปีก่อน มีนักศึกษาคนหนึ่งหน้าตาสะสวย
แล้วก็พบรักกับอาจารย์คนนึง ทั้งสองคนแอบมีความสัมพันธ์กัน”
ทุกคนเงียบกริบตั้งใจฟังมินซอกซึ่งกดยิ้มนิดหน่อย
“แต่แล้วความจริงก็ปรากฏ
ภรรยาของอาจารย์เข้ามาเอาเรื่องนักศึกษาคนนี้ เธอนัดนักศึกษามาตกลงที่ดาดฟ้า
แต่ตกลงกันไม่ได้ ก็เลยผลักนักศึกษาคนนั้นจนหัวเธอกระแทกกับเหลี่ยมแท็งก์ปูน
ก่อนจะเอาศพเธอไปซ่อนในแท็งก์นั่นแหล่ะ ตรงตึกเก่าท้ายมหาลัยน่ะ”
“อื๋อ”ทุกคนส่งเสียงพร้อมกันโดยที่มินซอกก็เล่าต่อไป
“แต่มันไม่แค่นั้นน่ะสิ หลังจากที่พบศพของเธอแล้ว
เขาบอกว่าตอนเย็นๆถ้าเดินไปบนชั้นเกือบถึงดาดฟ้า จะได้ยินเสียงเหมือนคนทุบผนัง
แล้วก็มีเสียงหวีดร้องก้องเหมือนเสียงร้องในแท็งก์น้ำดังขึ้นมาตลอดเลย
อยากไปลองกันมั้ยล่ะ?”
“โอ๊ย..พอเถอะ ฉันไม่ไหวแล้วนะ”อี้ชิงว่า
“ทำเป็นพูดไปเถอะ ที่คณะนายก็มีเรื่องเล่าเยอะเหมือนกันนี่”แบคฮยอนพูดใส่
“ตาใครต่อไปดี”
“ฉันแล้วกัน”คยองซูว่า “เรื่องมือใต้ต้นแอปเปิ้ลตรงป่าเก่าของพวกวิศวะน่ะ”
“...”เสียงกลืนน้ำลายดังเอื๊อก พร้อมกับลู่หานโน้มกายมาด้านหน้าอย่างตั้งใจฟัง
คยองซูผ่อนลมหายใจนิดหน่อยพลันออกปากเนิบๆ
“นานมาแล้วล่ะ
เป็นเรื่องเล่ารุ่นต่อรุ่น มีอาจารย์ผู้หญิงที่สอนคณะนั้นคนนึง..
เธอเป็นคนไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ แต่ในคณะที่เธอสอนเต็มไปด้วยเด็กหนุ่มๆหน้าตาดีเต็มไปหมด
เธอค่อนข้างมีเงิน และมีลูกศิษย์จำนวนไม่น้อยที่ใช้ช่องทางนี้หลอกเงินจากเธอ
ทำเป็นรักเพื่อให้เธอยอมควักค่าใช้จ่ายให้น่ะ”
“เลวชะมัด”มินซอกสบถ
ในขณะที่จุนมยอนก็หน้าบึ้งไม่พอใจไปด้วย
“อาจารย์สาวผู้ผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ทั้งถูกหลอก ถูกหัวเราะให้อับอาย ก็เริ่มจัดการผู้ชายที่ทรยศความรักของเธอทีละคน
ด้วยการเอาไขควงแทงไปที่คอหอยของพวกนั้น ถอดเสื้อผ้า ซ่อนศพเอาไว้
แล้วมาฝังรอบๆต้นแอปเปิ้ลทีละคน...ทีละคน...”
“ฉันกลัวจริงๆนะ”อี้ชิงครวญ
“จนในที่สุดอาจารย์คนนั้นก็สติแตก
กินยาฆ่าตัวตาย จดหมายสั่งเสียของเธอเขียนว่า เธอรักต้นแอปเปิ้ลที่สุด
ทุกคนคิดว่าเป็นต้นแอปเปิ้ลที่เธอชอบไปยืนดูนั่นล่ะ แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร
จนเวลาผ่านไป มีช่วงปีหนึ่งที่ฝนตกติดต่อกันหนักเพราะพายุเข้า จนพายุหมด
ภารโรงเลยสังเกตเห็นกระดูกมือคนโผล่ออกมารอบๆต้นแอปเปิ้ล ทั้งที่เหลือแต่กระดูก
แต่ท่าทางมือเหล่านั้นเหมือนจะตะกุยขึ้นมาเอาชีวิตรอด”
“อึ๋ย!”ทั้งวงร้องพลันเบียนตัวแทบจะชิดกันโดยทันที
แม้แต่ชานยอลกับลู่หานเองก็อดไม่ได้ที่เบียดกายหากันอย่างอัตโนมัติ
“จนได้ทำบุญกันไปนี่แหล่ะ
ต้นเก่าเขาถอนทิ้งไปแล้ว ที่ยังอยู่น่ะต้นใหม่ แต่ดินเดิม รุ่นพี่ชอบแกล้งบอกให้รุ่นน้องไปเดินรอบๆ
แล้วค่อยเล่าเรื่องนี้ทีหลัง ตอนฉันโดนน่ะช็อคไปเลย ไข้ขึ้นเลยแหล่ะ
ต้องให้แม่พาไปโบสถ์ยกใหญ่”คยองซูไหวไหล่เล็กน้อย “จบแล้ว”
“ฟู่”ทุกคนผ่อนลมหายใจออกมาโดยไม่ได้นัดหมาย
ก่อนจะหยิบเครื่องดื่มมาจิบให้หายตื่นเต้น
บรรยากาศในวงเล่าเรื่องนั้นเงียบไปพักใหญ่ จนกระทั่งมินซอกเอ่ยปากออกมา
“จุนมยอน..นายมีเรื่องจะเล่ามั้ย?”
“ฉันเหรอ?... เล่าแทนคนอื่นได้มั้ยล่ะ
ฉันสงสารเพื่อน”ร่างขาวนวลเมื่อต้องแสงเทียนเอ่ยปากเมื่อเห็นเพื่อนทำท่ายุกยิกอย่างอึดอัด
“เออๆ นายกับแบคฮยอนคนละเรื่องก็พอแล้ว ดึกแล้ว”เจ้าของไอเดียกล่าว
จุนมยอนจึงยืดตัวนิดหน่อยจึงเอ่ยปากออกมาเรียบๆ
“ประตูแดง”
“อ่า..เรื่องนี้ฉันอยากฟังมากเลย”คยองซูว่า
“ชื่อเรื่องก็น่ากลัวแล้ว”ชานยอลบ่น
“เอาล่ะ เริ่มนะ... อย่างที่พวกนายรู้
สองสามปีที่ผ่านมานี้เอง มันเริ่มจากนักศึกษาชายคนหนึ่งซึ่งเป็นที่นิยมในมหาวิทยาลัย
อาศัยอยู่หอสามห้องริมสุด หมอนี่เป็นเดือนคณะ สาวๆตามกรี๊ดไม่ห่างเลยล่ะ”
“อ่า..ฉันเคยได้ยินชื่อหมอนั่นมาบ้างนะ”แบคฮยอนเปรย
“นั่นแหล่ะ เพราะความนิยมสูง
ทำให้ตัวเองไม่กล้าเปิดเผยว่าที่จริงแล้วคบกับอาจารย์อีกคณะอยู่ แถมอีกฝ่ายยังเป็นผู้ชายด้วยกัน
กลัวความนิยมจะตกประมาณนั้น ข้างห้องเคยเรียนเซคเดียวกับฉัน
หมอนั่นเล่าว่าทะเลาะกันประจำ เสียงดังโครมคราม ประมาณเที่ยงคืนครึ่งอาจารย์คนนั้นจะเข้าไปที่ห้อง
เสียงก็ไม่ชัดมากนะ ผนังหอพวกเราออกแบบมาเก็บเสียงอยู่บ้าง
แต่เพื่อนคนนี้ก็ไม่กล้าเล่า เพราะถูกขอไว้ด้วยล่ะ ช่วยได้แค่ปิดปาก แต่ตอนทะเลาะกันไม่รู้จะไปห้ามยังไง”
“ต่อเร็วสิ”คิมมินซอกเร่งด้วยเสียงเบาราวละเมอ
“น่า...ก็นั่นล่ะ เกิดเรื่องจนได้ นักศึกษาคนนั้นถูกอาจารย์ฆ่า
ช่วงนั้นคนที่อยู่ข้างห้องย้ายไปหอนอก เลยไม่รู้ ศพก็ถูกทิ้งไว้ในห้องนั่นล่ะ
จนอาจารย์คนนั้นผูกคอตายในหลายวันต่อมา แล้วก็เขียนจดหมายเรื่องที่ตัวเองฆ่านักศึกษาคนนั้นเอาไว้ แล้วตำรวจก็ตามไปเจอพร้อมกับห้องรอบๆที่ร้องเรียนได้กลิ่นซากศพพอดี”จุนมยอนถอนหายใจ
“แต่ไม่จบเท่านั้นน่ะสิ ที่ประตูน่ะมีรอยมือของนักศึกษาคนนั้น ที่น่าจะพยายามตะกายหนีอาจารย์
ล้างเท่าไหร่ก็ไม่ออก ร้ายกว่านั้นคือไม่รู้ว่าใครจงใจแกล้งรึเปล่า เพราะประตูด้านหน้าก็เป็นรอยเลือดรอยเดียวกับประตูด้านในเหมือนกัน
สุดท้ายก็ต้องให้ช่างมาทาสีแดงกลบ บทสรุปคือห้องนั้นก็ปล่อยร้าง คั่นห้องเก็บของอีกสองห้องเว้นระยะก่อนจะให้นักศึกษาอาศัยห้องถัดไป
แต่ชั้นนั้นก็ไม่ค่อยมีคนอยู่เท่าไหร่แล้วล่ะ”
“ใช่ๆเวลาฉันไปหาเพื่อนที่ชั้นบน
เดินผ่านชั้นนั้นทีไรฉันรู้สึกหนาวยะเยือกทุกที แถมสีประตูมองจากไกลๆยังเห็น”คยองซูว่าพลางลูบเนื้อตัวสีหน้าแสยง
“พอแล้วได้มั้ย ฉันไม่ไหวจริงๆนะ”อี้ชิงอ้อนวอนอีกครั้งในขณะที่ชานยอลกับลู่หานก็เบียดตัวเข้าไปชิดกันอีกรอบเรียบร้อย
“อีกเรื่องน่า .. แบคฮยอน ตานายแล้ว”มินซอกยังใจแข็งเอ่ยต่อไปทำเอาอี้ชิงต้องหนีไปซบเพื่อนก่อนจะดึงผ้าไปห่อตัวจนมันพ้นปลายเท้าของลู่หานไป
แต่ลู่หานเองก็ไม่ได้ว่าอะไรนักเพราะเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายกำลังกลัว
“เรื่องที่ฉันจะเล่า..อ่า..มันไม่เชิงว่าผีหรอก...พวกนายคงเคยอ่านข่าวบ้างละมั้ง
คลองข้างตึกใหญ่น่ะ”แค่เกริ่นหน้าคนที่เหลือก็ซีดหมด
แบคฮยอนเม้มปากลันขยับตัวยืดตรง “ก่อนรุ่นเราเข้ามาเรียนสักปี...
นักศึกษาคนนึงเป็นเดือนคณะเหมือนกัน แต่เป็นคนเรียบร้อย เป็นผู้ชายล่ะ
แต่ก็มีผู้ชายผู้หญิงตามขอความรักไม่หยุด”
“...”
“หนึ่งในบรรดาคนที่มาขอความรักจากคนๆนี้
เป็นลูกชายผู้ช่วยผู้อำนวยการมหาวิทยาลัย ที่ตอนนี้ออกไปแล้วน่ะ
ผู้ชายคนนั้นเป็นนักศึกษาแพทย์ แล้วก็ดูเข้ากันดี รุ่นพี่ที่เล่าให้ฟังบอกฉันว่าทั้งคู่ดูเหมาะกันมาก
ถึงจะเป็นผู้ชายก็เถอะ ลูกชายผู้ช่วยก็เอาอกเอาใจตลอด ฝั่งนักศึกษาก็ไม่ได้ปฏิเสธ
ทุกคนคิดแล้วว่าคงตกลงปลงใจกันแน่นอน เพราะดูว่าชอบพอกัน”
“ก็ดีแล้วนี่นา..แล้วทำไม?”จุนมยอนขมวดคิ้ว
แม้แต่อี้ชิงที่ห่มผ้าจนเหลือแค่ตายังส่งเสียงเบาๆ
“แล้วยังไงต่อไปอะ”
“ทางพ่อแม่นักศึกษาไม่ยอมน่ะสิ
เขาจะให้ลูกชายแต่งกับผู้หญิงเพราะนักศึกษาคนนี้เป็นลูกชายคนเดียว นักศึกษาเลยต้องตัดสัมพันธ์ไม่ให้ลูกชายผู้ช่วยมายุ่งด้วยอีก
อีกคนก็เหมือนเป็นบ้าไปเลย คอยตามตื้อ คอยมาเฝ้าหน้าคณะ อีกคนก็ต้องใจแข็งเดินหนี
เป็นทุกวันจนเพื่อนที่เรียนชั้นเดียวกันก็สงสาร”
“...”ลู่หานเกยคางกับหัวเข่านั่งฟังแบคฮยอนเล่าต่อไป
“จนมีอยู่วันนึง ที่มีกิจกรรมที่คณะจนดึก
ทุกคนกลับบ้านกันตามปกติ แต่พอรุ่งเช้า..ก็มีคนพบศพนักศึกษาคนนั้น จมอยู่ตรงคลองข้างตึกใหญ่
เหมือนโดนฟันตามตัว..ส่วนอาวุธ...เป็นขวาน”
“...”
“สับค้างคาคอของลูกชายผู้ช่วยที่นั่งพิงตรงต้นไม้
เลือดสาดไปหมด”
“อื๋อ!!”
“ที่เป็นข่าวก็ตอนนั้นแหล่ะ
แล้วก็มีข่าวลือว่า ถ้าใครผ่านตรงนั้นจะได้ยินเสียงคนร้องไห้ เหมือนนักศึกษาคนนั้นยังไม่อยากตาย
แล้วลูกชายผู้ช่วยก็คอยปลอบ เป็นเสียงกระซิบพูดคุยตอนกลางคืน เห็นว่าบริเวณนั้นตอนมืดๆลมจะแรงเป็นพิเศษล่ะ”
“โอย..พอแล้ว แค่เข้าห้องน้ำฉันก็ไม่มีแรงแล้ว”อี้ชิงพูดขึ้นอีกครั้งโดยมินซอกที่ซึมไปด้วยก็เอ่ยปาก
“อืม พอเถอะ ฟังแล้วดิ่งอะ”
“คืนนี้ฉันจะนอนหลับมั้ยเนี่ย”จุนมยอนบ่นพร้อมกับชานยอลที่ลุกขึ้นก่อนใครเพื่อนเพื่อยืดกายหลังจากอยู่นิ่งๆมานาน
และคยองซูก็เอ่ยปากขึ้นเรียบๆ
“งั้นก็เอาแก้วมาบ้วนปากแล้วนอนด้วยกันก็ได้
ตอนเช้าค่อยแยกไป ฉันเองก็ไม่กล้านอนคนเดียวแล้วล่ะ”
“ได้ ตกลงตามนี้”แบคฮยอนตอบรับ
ก่อนที่คยองซูจะเทน้ำยาบ้วนปากแจกให้ทุกคนแล้วก็พากันเข้านอน เตียงใหญ่เตียงหนึ่งเบียดกันห้าคนก็แทบล้น
ไม่มีใครสนใจใยดีหรือหันมาถามลู่หานสักนิด ซึ่งเขาก็ได้แต่บ่นในใจว่าทำไมเพื่อนๆถึงใจร้ายใจดำกับเขาเหลือเกิน
“นี่ กลับกันเถอะ”ชานยอลที่เห็นว่าเตียงเต็มแล้วก็ว่า
ลู่หานจึงพยักหน้าก่อนจะพากันออกมาตอนเที่ยงคืน
ทั้งคู่เดินไปตามทางอย่างช้าๆและชานยอลก็เอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง “พรุ่งนี้นายจะไปอีกมั้ย?”
“ไปสิ”ลู่หานว่า “ฉันชอบฟังพวกนั้นคุยกัน
ชานยอลไม่ชอบเหรอ?”
“เปล่าน่ะ ไปอีกก็ดี”ลู่หานเดินมาส่งชานยอลที่หอสาม
เดินตามร่างสูงโปร่งซึ่งย่างกายช้าๆจนมาถึงหน้าห้อง
และชานยอลก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากอีกครั้ง
“นายค้างที่นี่มั้ย? มืดแล้วนะ”
“ไม่เป็นไร ใกล้เที่ยงคืนครึ่งแล้วนี่”ลู่หานพูด “เดี๋ยวอาจารย์อี้ฝานก็มานี่แล้วล่ะ”
“งั้นฝันดีนะ”ชานยอลกล่าวตัดบทก่อนจะเข้าห้องไป เจ้าตัวพยายามทำทุกอย่างให้เบาที่สุดและไม่อาบน้ำหรือเปิดไฟ
เพราะห้องรอบๆจะนอนไม่หลับถ้าชานยอลทำเสียงดังกลางดึก
ส่วนลู่หานนั้นหลังจากก้าวพ้นออกมาด้านนอก
เงยหน้ามองห้องชานยอลที่ค่อนข้างสะดุดตาเพราะมีประตูสีแดงก็เดินออกจากหอสามมาเงียบๆเพื่อกลับที่พัก
ร่างเล็กก้าวไปตามถนนจนจวนจะถึงตึกใหญ่ ใบหน้าหวานมองไปที่คลองข้างตึกนั้น
สายลมพัดวูบมาอย่างเหน็บหนาว เขากอดตัวเองไม่เคลื่อนไหวใดใดจนรู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้ขึ้นมา
เขาไม่ได้อยากร้องไห้ แต่จู่ๆพอมาอยู่ตรงนี้ทุกๆคืน...
เขากลับรู้สึกอยากร้องไห้อย่างบอกไม่ถูก
“ร้องไห้อีกแล้วเหรอครับ...”เสียงๆหนึ่งกระซิบที่ริมหูพร้อมกับสัมผัสอบอุ่นของอ้อมกอด
ลู่หานหลับตาลงก่อนจะพิงชายหนุ่มร่างสูงดวงตาคมที่ทอดมองอีกฝ่ายอย่างอาทร “ไม่ต้องร้องนะครับ..ผมอยู่นี้แล้ว...ผมจะปกป้องรักของเรา”
“ผมไม่เป็นไร..เซฮุน”ลู่หานสะอื้นฮัก
กอดกายตนอย่างหนาวลมเพราะชุดของเขานั้นเปียกชื้นและขาดเพราะของมีคม
โดยที่ชายด้านหลังนั้นสวมเชิ้ตสีขาวกางเกงสีดำลำคอแดงฉานไปด้วยเลือดแต่ก็ยังโอบกอดลู่หานเอาไว้ราวปกป้อง
ร่างของทั้งสองคนค่อยๆจางหายไปกับพงหญ้าแถวคลองข้างตึกท่ามกลางสายลมที่ยังพัดวูบจนสะท้าน
ชายคนเดิมเอ่ยประโลมแผ่วพร้อมกับสุนัขที่หอนรับเกรียวกราวจนทำให้คืนนี้น่าประหวั่นสำหรับใครหลายๆคน
“ผมอยู่นี่แล้ว...ผมอยู่กับคุณ...จะไม่มีใครแยกพวกเราได้อีก...พวกเราจะไม่แยกจากกัน....”
trick or treat?
#เรื่องเล่าฮลว