วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2558

[SF] หมวย (Sehun x Luhan) (1)









Title: หมวย (1)
Image: SEHUN x LUHAN
Author: RUNAWAY05
Note: ชั่ววูบมาก บางสถานที่มีจริง และบางสถานที่ไม่มีจริง



ตั้งแต่เราจำความได้ เราเป็นเด็กเชื้อสายจีนอาศัยอยู่ที่เยาวราช พ่อเราเป็นช่างซ่อมมอเตอร์ไซค์ ส่วนแม่เราก็รับเอาของส่งจากสำเพ็งมาแพ็คใส่ถุง เราเป็นลูกคนเดียว เป็นเด็กผู้ชาย ชื่อของเราคือ ลวินท์


ที่แม่เคยเล่าให้ฟัง ตอนแรกเราไม่ได้ชื่อลวินท์ เราชื่อหาญศักดิ์ เป็นชื่อที่พ่อตั้งให้แต่แรกตอนเขียนสูติบัตร แต่แม่เราไม่ชอบ แม่บอกว่าไม่เพราะ ตอนนั้นอาม่ายังไม่ได้เปลี่ยนแซ่ตระกูล บ้านเราแซ่ลู่ พอฟังตอนนั้นก็คงตลกน่าดู เราขำทุกครั้งที่เปิดสูติบัตรแล้วเจอคำว่า เด็กชาย หาญศักดิ์ แซ่ลู่ เราขอบคุณแม่มากที่ตอนนั้นตัดสินใจเปลี่ยนชื่อเราด้วยตอนที่ไปเปลี่ยนชื่อตระกูลกันที่อำเภอ ครอบครัวเราเปลี่ยนสกุลเป็น ลู่เจริญกิจ แต่ซินแสทักว่าชื่อเราไม่ควรมีร.เรือ จากที่จะชื่อรวินท์ แม่ก็เลยใช้ลวินท์แทน

เรามีชื่อเล่นนะ ชื่อกวาง (จริงๆอาม่าตั้งว่า กวง แปลว่าแสง รัศมี แต่ตอนแนะนำตัวตอนอนุบาล คุณครูเข้าใจว่าชื่อกวาง ก็เลยกวางกันมาตลอด) แต่ไม่มีใครเรียกชื่อเล่นเรากันหรอก เขาชอบเรียกเราว่าหมวย ทั้งที่เราถึงจะมีเชื้อจีนแต่หน้าเราก็ไม่หมวยนะ ถ้าไอ้บี๋ลูกโกเล้งที่ขายน้ำเต้าหู้ตรงหัวห้องแถวน่ะหมวยกว่าเราอีก แต่มันผู้ชายนี่เนอะ ต้องเรียกตี๋... เราก็ผู้ชายนะ ไม่เห็นมีใครเรียกตี๋ เรียกแต่หมวยมาตลอด ไม่เข้าใจเหมือนกัน

ถึงเราเป็นเด็กเชื้อจีน แต่บ้านเราก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร เราเรียนโรงเรียนวัด และเพราะเราตัวเล็ก ตอนแรกๆก็โดนแกล้งบ่อย แต่บอกเลย..แข้งเราไม่เล็กนะ เราเป็นนักบอลโรงเรียนด้วยล่ะ เราเรียนกลางๆ ไม่เก่งมาก เพื่อนที่สนิทกันก็มี ไอ้บี๋ กับ ไอ้อิน เป็นเด็กห้องแถวเหมือนกันนี่แหล่ะ ไอ้อินพ่อมันชื่อเฮียเส็ง ขายถ่านอยู่ท้ายห้อง หลังจากเลิกเรียนเรามาช่วยแม่ล้างจานกวาดบ้าน กรอกน้ำก็จะไปเตะบอลกับพวกไอ้อินไอ้บี๋ประจำ

สมัยนั้นเรามีความสุขดีนะ พกเงินกันแค่ห้าบาทก็เหมือนรวยเป็นเสี่ย ไอ้บี๋แม่มันใจดี ให้เงินมันมาซื้อขนมข้างนอกวันละสิบบาท ในกลุ่มเรางกสุด เพราะพ่อเราเป็นลูกจ้างเขา ไม่ได้เป็นเจ้านายใครเหมือนพ่อพวกมันสองคน ก็เนียนกินไปกับพวกมันแหล่ะ พอใครมาแกล้งมันก็เรียกเราไปจัดการ แน่นอนว่าแข้งเราอะ...ไม่มีใครกล้าแหยมหรอกนะ

จนวันนึง มีผู้ชายหน้าตาดีมาที่บ้านเรา เรากลับมาจากบ้านก็แปลกใจว่าทำไมฝรั่งถึงมาบ้านเรา คุณเขาตัวสูงมาก ผมสีทอง ตาสีฟ้า ส่วนผู้หญิงข้างเขาก็ตาโตผมยาว เราถามแม่ แม่บอกว่านี่คือเจ้าสัวสมคิด ชื่อเดิมชื่อคริสโตเฟอร์ มากับเมียแกชื่อคุณนายลดา เป็นหุ้นส่วนอู่ที่พ่อเราไปทำงานอยู่ ตอนนั้นแม่บอกว่าลูกชายเจ้าสัวแกจะย้ายมาเรียนโรงเรียนคริสเตียนใกล้ๆ จะฝากให้แม่ไปรับมาไว้ที่บ้าน แล้วคุณนายแกจะมารับตอนเย็นๆ เพราะเห็นว่าลูกชายอายุไล่ๆกับเรา และพักนี้เจ้าสัวกับคุณนายแกต้องไปคุมที่ก่อสร้างห้างอยู่แถวลำลูกกา เราไม่รู้หรอกว่าตรงไหน แต่คิดว่าคงจะไกลน่าดู

พอวันต่อมา แม่ก็มารับเราที่โรงเรียน แต่มีเด็กผู้ชายใส่เสื้อสีขาวกางเกงลายสก๊อตน้ำเงินฟ้าเกาะขาแม่มาด้วย เรา ไอ้บี๋ ไอ้อิน ก็เดินกลับไปกับแม่ที่ออกเงินซื้อลูกชิ้นปิ้งให้พวกเรากินเป็นครั้งแรกตั้งแต่เราจำความได้ พร้อมกับไอ้น้องตัวน้อยดูอ่อนปวกเปียกไม่เหมือนผู้ชาย แม่บอกว่าน้องชื่อชุน เรียนโรงเรียนคริสเตียนละแวกใกล้ๆ ซึ่งเรากับไอ้อินก็คิดว่าน้องชุนนี่ขาวเกินไป ไม่เหมือนเด็กผู้ชาย ส่วนไอ้บี๋นี่คิดว่าน้องเป็นตุ๊ด ...ซึ่งเราก็ว่าเหมือนอยู่นะ

หลังจากนั้นหน้าที่ของเราคือไปรับน้องชุนกลับบ้าน ไปกับไอ้อิน ไอ้บี๋เจ้าเดิม ได้ค่าจ้างกันคนละห้าบาท โดยคุณนายลดาแกฝากเงินไว้กับแม่เรา (บางทีเราก็ไม่ได้ตังนะ แม่บอกเอาไปซื้อกับข้าว) ปัญหาหลักๆเลยคือน้องชุนชอบโดนแกล้งบ่อยๆ ชอบโดนล้อว่า อีติ๋มเทอร์โบ เราก็ไม่รู้ว่าเป็นชื่อ หรือเป็นโรคอะไร เพราะไอ้พวกเด็กฝรั่งมันชอบล้อน้องแบบนั้น โอเคเราก็ว่าน้องดูติ๋มๆนะ น้องไม่ชอบพูด ตัวซีดๆแห้งๆ เหมือนขาดสารอาหาร แต่วันไหนที่เราจัดการพวกมาล้อน้อง น้องชอบเอาไปบอกคุณนายว่าเราช่วย คุณนายก็แกจะเตือนประมาณว่าอย่าใช้ความรุนแรง มีอะไรจำหน้าไว้แล้วมาบอกแก ส่วนเจ้าสัวถ้าวันไหนมาด้วย ถ้ารู้ว่าพวกเราไปต่อยปากเด็กช่วยน้อง แกให้คนละยี่สิบบาท ให้เป็นกำลังใจในการต่อยคน

ไม่นานนัก น้องชุน (หรือน้องติ๋มเทอร์โบ) ก็มาเป็นสมาชิกใหม่ของกลุ่ม น้องมันมีหน้าที่เก็บลูกบอลและซื้อไอติมแจกพวกเราด้วย และทุกๆเย็นหลังจากแยกกับไอ้อินที่ต้องแวะเข้าตลาดสดไปหาแม่มันก่อน และไอ้บี๋ที่กลับเข้าบ้าน เรากับไอ้น้องติ๋มก็จะเดินคุยกันไปเป็นประจำ

“พี่หมวยๆ ไอ้นั่นเรียกอะไรอะ”

“หน้ากากแป๊ะยิ้มไง เหมือนแกอะ เวลาแกยิ้ม”

“มันดีมั้ยอะ”

“แกยิ้มแกมีความสุขป้ะล่ะ ถ้ามีความสุขก็ดี”

“อยู่กะพี่หมวยแล้วมีความสุขนะ”

“หน้าแกเลยเหมือนแป๊ะยิ้มไง”พวกเราหัวเราะให้กิน พวกเราอยู่ด้วยกัน เราไม่เคยปฏิเสธเลยนะว่ามันดี เรามีความสุขมากจริงๆ เหมือนมีน้องชายเพิ่มมาคนนึง แต่แล้ว...เพราะเรามัวแต่อยู่กับน้อง เราไม่ค่อยไปเล่นกับพวกไอ้บี๋ ไอ้อิน พวกที่คอยแกล้งเราก็ล้อว่าเราเป็นผัวตุ๊ด เรารู้สึกแย่ โดนล้อทุกวัน แม้แต่เพื่อนที่สนิทก็ยังเข้าใจว่าเป็นอย่างนั้น ตอนนั้นเราเลือกที่จะไม่เจอน้องอีก ให้แม่ไปรับน้องแทน จนวันสุดท้ายที่น้องมาขอเจอเรา เราก็ขังตัวเองอยู่ในห้องน้ำจนน้องกลับไป


และเราเพิ่งมารู้ว่าเราตัดสินใจผิด... น้องแค่มาลาเราเพราะจะย้ายไปเรียนที่อื่น เลยกลายเป็นเรื่องที่พูดถึงทีไรก็ยังเสียใจมาทุกวันนี้..





เวลาผ่านไปพร้อมกับความทรงจำที่ตกหล่นไปตามเวลา เราเรียนจบป.ตรีจากมหาลัยแถวลาดกระบัง ดั้นด้นเรียนสถาปัตย์จนจบ พ่อเราตอนนี้อยู่บ้านหลังใหม่ เปิดร้านขายอะไหล่มอเตอร์ไซค์ แต่ยังอยู่แถวเยาวราชแหล่ะ พ่อเราบอกว่ามาอยู่นี่ก็ตายอยู่นี่ คงหนีไปไหนไม่พ้น คงมีแต่เราแหล่ะที่เกือบมาตายอยู่ลาดกระบัง ทั้งเหงา ทั้งคิดถึงบ้าน เหล้าเหลิ้วก็กินกับเขาไม่เป็น ยิ่งตอนรับน้องเรายิ่งคิดถึงแม่ อยากกลับบ้าน ไอ้บี๋มันเรียนหมออยู่จุฬา ส่วนไอ้อินเห็นมันขี้เกียจๆอย่างนั้นก็เรียนนิติอยู่ธรรมศาสตร์ จะเจอหน้ากันทีก็ตามเทศกาล ตรุษจีน เชงเม้ง อะไรก็ว่ากันไป

สมัยเราอยู่หอ ก็ยังมีคนเรียกเราว่าหมวยอยู่นะ ทั้งกวาง ทั้งหมวย น้องกวาง น้องหมวย จนเฮียกวาง เฮียหมวย เมทเราชื่อไอ้อี้ บ้านมันอยู่สำเพ็งแต่เราไม่ยักรู้ เราอยู่นี่ก็เรียนไป เล่นไป อยู่กับเพื่อนๆ เตะบอลกับไอ้อี้ แก้งาน กัดฟันจนจบออกมาได้ เรื่องความรักก็แทบไม่ได้นึกถึง หลังจากเห็นไอ้อี้ร้องไห้ฟูมฟายผู้หญิงทิ้งไปเอาเด็กแว้นเรียนช่างยนต์ เราก็คิดว่าความรักไม่จำเป็น รักไปก็เจ็บ ก็เลยไม่ได้สนใจอะไรอีก

เรากลับมาตกงานอยู่บ้านเกือบครึ่งปี เราเข้ากับที่ทำงานไม่ได้ เราเป็นพวกเก็บอาการไม่เก่ง และเราก็ไม่ค่อยจะทนกับพวกนินทาเท่าไหร่ เรากลายเป็นพวกไม่มีงานทำในขณะที่ไอ้บี๋มันกำลังจะเป็นหมอ ไอ้อินก็กำลังจะต่อโท ตอนนั้นเรารู้สึกแย่ไปหมด เราเครียดจนนอนไม่หลับ แต่ยังดีที่พ่อแม่ยังให้กำลังใจ แถมไอ้อี้ที่ติดต่อมามันขายกาแฟอยู่เชียงใหม่ เราเลยคิดว่าไม่ใช่แค่เราที่จบมาแล้วไม่ได้งานแบบที่เรียน เรานั่งๆนอนๆช่วยพ่อกับแม่ขายของได้พักหนึ่ง พ่อถึงได้บอกว่าจะฝากงานให้ อยู่แถวอโศก เราคิดว่าไหนๆก็ไหนๆ เลยส่งเอกสารไปดู แล้วเขาก็โทรมาหาพ่อเรา นัดเราไปทำงาน

มันก็ตลกดีนะ เราจบสถาปัตย์มาทำงานบัญชีอยู่บริษัทแห่งหนึ่งแถวอโศก เราออกจากบ้านหกโมงครึ่ง นั่งรถไฟใต้ดินที่หัวลำโพง เช้าๆก็กินน้ำเต้าหู้ของโกเล้งที่ขายจนส่งลูกชายเรียนหมอจวนจะจบ บริษัทที่เราไปทำไม่มีเครื่องแบบประจำ แค่ใส่กางเกงสีดำกับเชิ้ตสีสุภาพ เข้างานช้าสุดแปดโมงครึ่ง เลิกห้าโมงเย็น เงินเดือนสตาร์ทหมื่นสี่ หยุดทุกวันอาทิตย์ โอทีแล้วแต่เจ้านายจะบอก ตามจริงที่นี่มีบัญชีอยู่แล้วคนหนึ่ง ชื่อเจ๊จุ๋ม แต่เขาให้เราไปช่วยเจ๊จุ๋มทำบัญชีทั่วไป เพราะเจ๊จุ๋มต้องคอยทำบัญชีเกี่ยวกับสินค้าส่วนใหญ่ เหมือนที่นี่เป็นบริษัทรับสินค้าจากต่างประเทศมาขายทางอินเตอร์เน็ต เราทำงานไปได้สองเดือน ก็มีเรื่องให้เราประหลาดใจ ในวันนึงที่เรากำลังเอาเอกสารที่เจ๊จุ๋มใช้ไปถ่ายเดินออกจากห้องบัญชี ก็มีเสียงทักเรียกเรา

“พี่หมวย! พี่หมวยรึเปล่า?!

ตอนนั้นเราตกใจมาก เพราะตั้งแต่มาทำงานที่นี่เราไม่ได้บอกใครนะว่ามีชื่ออีกชื่อว่าหมวย เรามองผู้ชายคนนึงตัวสูงๆ ผมสีทองสวมเสื้อกางเกงสีดำกำลังส่งยิ้มมาให้ เราก็ยิ่งงงหนัก จนรอยยิ้มนั้นทำให้เรานึกใครสักคนหนึ่ง

“ติ๋ม?”

“ติ๋มไรอะพี่ ฉายานั่นแม่ง ฮ่าๆ มาทำงานนี่เหรอ มานานรึยัง”

“ก็สองเดือนแล้ว”

“ผมไม่รู้ก็เลยไม่ได้มาแถวนี้ เดี๋ยวผมมาหาบ่อยๆนะ”เขาบอกเราแบบนั้น และเราเพิ่งมารู้จากเจ๊จุ๋มทีหลังว่า น้องชุน (หรือไอ้น้องติ๋มเทอร์โบตอนเด็กๆ) ชื่อจริงคือ สุหฤทธิ์ โอสถานนท์ เป็นลูกเจ้าสัวสมคิด ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทที่นี่ ตอนนั้นเราถูกถามวุ่นวายไปหมดว่าไปรู้จักกับลูกชายเจ้าของได้ยังไง เราก็ขี้เกียจจะพูดเลยบอกแค่ว่าเคยรู้จัก ถึงแม้ตอนเด็กๆจะอยู่กันบ่อย เห็นน้องมันนั่งตด แคะขี้มูก เกาตีนไปมา ก็ไม่นึกว่าน้องมันจะโตมาหน้าตาดีขนาดนี้

หลังจากเลิกงาน คุณชุนก็มาชวนเราไปกินข้าว (เราต้องเรียกเขาว่าคุณล่ะ เพราะว่าเป็นเจ้านายเราแล้ว จะเรียกไอ้น้องติ๋มเทอร์โบเหมือนเด็กๆก็คงไม่ได้) พวกเรากินข้าวกันในร้านไม่ไกลออฟฟิศนัก พวกเราสั่งก๋วยเตี๋ยวเป็ดมาคนละชามกับโอเลี้ยงคนละแก้ว นั่งคุยกันท่ามกลางผู้คนที่ข้ามาฝากท้องในร้านอย่างหนาตาประจำ

“พี่ไปอยู่ไหนมา ไม่เห็นตั้งนานเลย จะยี่สิบปีแล้วมั้ง”

“ก็..เรียนอยู่ลาดกระบัง จบมาเกาะพ่อแม่อยู่บ้าน แล้วก็มาทำนี่ ...แล้วไปเรียนไหนมา”

“เรียนอยู่เยอรมันอะครับ จบกลับมาจะห้าเดือนแล้ว”

“แล้วจะไปเห็นพี่ได้ไง” ...กวนตีนนะเรา... เราเว้นประโยคท้ายไว้

“แล้วพี่บี๋กับพี่อินล่ะครับ”

“บี๋มันเรียนหมออยู่จุฬา ส่วนอินมันต่อโท ไม่เจอนานแล้วเหมือนกัน”

“โคตรคิดถึงพี่เลยว่ะ จริงๆนะ”คุณชุนส่งยิ้มมาให้ เราก็แค่ยิ้มรับไปเล็กน้อย วันนั้นคุณชุนมาส่งเราที่สถานี โดยที่ความรู้สึกเรายังคงลอยล่อง เราไม่รู้ว่าทำไม อาจเป็นเพราะเราดีใจที่ได้เจอกับคนที่เคยอยู่ในความทรงจำก็ได้ เราไม่เคยลืมเลยว่าครั้งสุดท้ายเราทำอะไร แต่ดูท่าแล้ว คุณชุนเหมือนจะจำไม่ได้เท่าไหร่นัก

แม้จะค่อนข้างสนิทสนมกันในระดับหนึ่ง เพราะผ่านการรู้จักตอนเด็กๆมาแล้ว แต่ในเวลางาน คุณชุนจริงจังมาก เจ๊จุ๋มบอกว่าคุณชุนทำงานเก่งเหมือนเจ้าสัว แต่ก็ละเอียดอ่อนเหมือนคุณนายลดา ถึงจะเสียหน้านิดนึงที่คนแก่กว่าอย่างเรา ต้องมาทำงานแลกเงินกับเด็กที่เคยดูแล เคยปกป้องตอนเด็กๆ แต่มันเป็นชีวิตที่เราเลือกไม่ได้ พ่อบอกว่าการไม่เลือกเจ้านายก็เป็นความขยันขันแข็งชนิดหนึ่ง โชคดีเราอยู่กับเจ๊จุ๋มที่ดุมากกับคนอื่นๆ เลยไม่ค่อยมีใครนินทาเราให้เราได้ยิน หรือประจบประแจงอะไรให้รำคาญ มันก็มีบ้างแหล่ะตามประสาการทำงาน แต่ไม่นานพวกนี้ก็ค่อยๆหายไป คุณชุนเส้นสายเยอะ ถ้าใครพูดจาไม่ดีแกเอาออกหมด แกถือว่าพูดจาไม่ดีคือคนคิดไม่ดี

เราเองหลังจากเลิกงานคุณชุนก็ชวนไปกินข้าวทุกวัน กลายเป็นว่าเราต้องกินข้าววันละสี่มื้อ คุณชุนเองก็คงรู้ว่าเราไม่อยากกินข้าวสี่มื้อ หลังๆเลยเปลี่ยนไปกินขนมหวาน จากที่หากิน(?)กันแถวๆอโศก คุณชุนก็เริ่มชวนเราไปแถวสยาม ประกอบกับแม่ไม่อยากให้เดินทางไปๆมาๆเท่าไหร่ เราเลยได้ห้องเช่าอยู่แถวที่ทำงาน วันเสาร์ตอนเย็นกลับบ้าน มาทำงานวันจันทร์ เราก็ว่าสะดวกดี ฐานเงินเดือนเราขยับขึ้น พอรับผิดชอบค่าห้องได้ ตอนแรกคุณชุนชวนเราไปอยู่คอนโดกับแก แต่เราก็เกรงใจเจ้านายนะเลยปฏิเสธไป

เงินเดือนพอหักค่าห้องก็เหลือประมาณหมื่นนึง เราส่งให้ที่บ้านห้าพัน เก็บไว้กินเองห้าพัน แล้วก็รับจ๊อบเล็กๆน้อยๆที่พวกรุ่นน้องจ้างมา แม้จะไม่ค่อยได้กินน้ำเต้าหู้โกเล้งเหมือนเดิม แต่ก็จะมีน้ำเต้าหู้เซเว่นที่คุณชุนมาแขวนไว้ให้ทุกวันจนโดนแซวไปทั้งตึกว่ารถบรรทุกส้มจะคว่ำใส่ แต่เราคิดว่าเพราะรู้จักกันตอนเด็กมากกว่า คุณชุนเป็นคนหน้าตาดี สาวๆเทียวมาหาไม่ได้ขาด ลูกหลานใครมาดูงานก็คอยออเซาะแกบ่อยๆ พนักงานสาวๆเห็นคุณชุนที่ไรก็มานั่งกรี๊ดกร๊าด พนักงานเข้าใหม่เป็นลมเพราะเจอคุณชุนใกล้ๆก็มีมาแล้ว นั่นแหล่ะเราถึงเกรงใจที่จะไปอาศัยแกอยู่ สาวมาหาไม่ขาดขนาดนี้

“พี่หมวย เลิกงานแล้วไปกินหนมกัน”คุณชุนทักเราตั้งแต่ยังไม่ถึงเวลาตอกบัตร เราก็โอเคนะ เราไม่ได้จ่าย คุณชุนชอบเลี้ยงเราตลอด แต่บางอย่างที่ดูแพงเกินไปจริงๆเราจะช่วยออก เราไม่อยากดูเหมือนเกาะคุณชุนกินเท่าไหร่ คุณชุนแกมีรถนะ รถแพงด้วย แต่แกไม่ค่อยขับ เวลาไปกินขนมกินข้าวหลังเลิกงาน แกชอบขึ้นรถไฟฟ้าไปกับเรา หรือไม่ก็นั่งใต้ดิน บางทีก็ไม่ได้นั่งเท่าไหร่ แกชอบลุกให้ผู้หญิงนั่ง ยืนโหนราวต่อหน้าเรา ไอ้เราก็หน้าเกือบชนเข็มขัดคุณชุนแกซะเรื่อย

เพราะตอนเด็กๆเราอยู่แต่เยาวราช พอโตก็ไปอยู่ลาดกระบัง เราเลยไม่ค่อยชินฝั่งสยามเท่าไหร่ คุณชุนแกดูเชี่ยวชาญ เรายังดูไม่ออกด้วยซ้ำว่าตรงไหนคือสยาม เพราะมันหลายสยามเหลือเกิน แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ไม่รู้เหมือนกันทำไมคุณชุนต้องคอยจูงมือเราตลอด เราก็ไม่ได้เป็นเด็กหลงขนาดนั้น มากเข้าก็ชอบโอบไหล่เราไปด้วยกัน ถามว่าคิดไหมตอบว่าไม่คิดก็คงบ้า เราไม่ใช่อิฐใช่ปูน สมัยนี้มันต่างกับสมัยเราเป็นเด็กมาก ผู้ชายเดินด้วยกัน ผู้หญิงเดินด้วยกันก็ใช่ว่าจะเป็นเพื่อนกัน แต่ติดอยู่อย่างเราไม่รู้ว่าจริงๆแล้วคุณชุนแกดีกับทุกคนหรือเปล่า หรือแค่เรา อีกทั้งเราเชื้อจีน ลูกชายคนเดียว แต่คุณชุนแกเป็นลูกคนโต มีน้องชื่อคุณแจ็ควัยยังแบเบาะ บางครั้งเราอยากตั้งกระทู้พันทิปถามนะ แต่กลัวคนมาเม้นว่านิยายเชิญห้องข้างๆ ก็เลยได้แต่เก็บไว้อย่างนั้น

“ไม่อร่อยเหรอครับ”คุณชุนถาม เรานั่งอยู่ซอบิงโก ที่นั่งติดกระจกมองออกไปด้านนอกหลังจากต่อแถวยาวเหยียด ลูกค้าร้านนี้มีแต่สาวๆมามองเจ้าของร้าน แต่พอคุณชุนเข้ามาก็เริ่มมองคุณชุนเหมือนกัน

“อร่อยนะ แต่คนมองเยอะ”

“พี่หมวยเสน่ห์แรงไง”

“เขามองคุณชุนหรอก”

“บอกกี่ครั้งแล้วครับว่าเรียกคุณ ทำไมชอบเรียกเหินเรียกห่าง”คุณชุนยกมือเท้าคาง “พรุ่งนี้ไปเดินเล่นหัวลำโพงไหมครับ”

“ไม่มีอะไรน่าเล่นเลยนะ”

“จตุจักรมั้ย หรือไปวัดที่ไหนก็ได้ ไปให้อาหารปลา”

เราปล่อยให้คุณชุนแกวางแผนท่องเที่ยงกรุงเทพมหานครของแกไปอย่างนั้น เรามันลูกจ้างจะไปขัดอะไรได้ หลังจากเดินซื้อของอยู่พักหนึ่ง คุณชุนก็ชวนนั่งรถเมล์กลับ เรายังนั่งจับมือกันแม้กระทั่งขึ้นรถเมล์ คุณชุนยังทำตัวเหมือนตอนเด็กๆเสมอที่ชอบเกาะเราไปไหนมาไหน


แต่คุณชุนอาจจะแค่ไม่รู้ว่าพี่หมวยอย่างเราไม่ได้คิดเหมือนเดิม...

:D

แท็ก #คุณชุนพี่หมวย

วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2558

[SF] Please (CHANYEOL x BAEKHYUN) 1/5











Title : Please
Author : RUNAWAY05
Pairing : PARK CHANYEOL x BYUN BAEKHYUN
Type/Rate : ?
Note : แก้บนบัตรคอนตอนที่หนึ่ง...



บยอนแบคฮยอนรู้สึกขอบคุณพระเจ้าทุกครั้งที่สร้างมนุษย์ผู้คิดค้นหูฟังขึ้นมา...

หากพูดกันตามจริงว่าถ้าไม่มีสิ่งนี้เหมือนเขาสูญเสียโลกไปเกือบครึ่งใบ...กับตัวเขาเองที่ใช้ชีวิตเสมือนจมอยู่เสียงเพลงแทบจะทั้งวัน ไม่ว่าจะตอนขับรถหรือเดินเท้า อย่างน้อยต้องมีหูฟังทั้งแบบครอบหรืออินเอียร์สักชิ้นที่ใบหู เพื่อจะเป็นที่ตัดตัวเองออกจากความวุ่นวายของปัจจุบัน

แบคฮยอนเป็นคนไม่มีความฝัน...ชีวิตของเขาตอนนี้เหมือนเหยียบอยู่บนโหมดเกรย์สเกล เดินไปที่ใดก็เหมือนจะยากลำบากกับการหาสีสันให้ชีวิต ทว่าเขาก็ชาชินกับการใช้ชีวิตแบบนี้มายี่สิบกว่าปีเช่นกัน อยู่อย่างที่ว่าแม้จะมีคนเดินผ่านไปผ่านมามากมาย ก็ยังรู้สึกเหมือนอยู่คนเดียวเพียงลำพังเสมอ

ร่างของชายหนุ่มวัยยี่สิบสามที่ขนาดตัวเหมือนเด็กมัธยมซะมากกว่ากำลังหอบหิ้วถุงเบียร์มาจากมินิมาร์ท สายตามองไปที่ชั้นหกซึ่งเป็นห้องพักของตัวเอง จมูกโด่งรั้นผ่อนลมหายใจเอาไอควันออกมาท่ามกลางอากาศเย็น ดวงหน้าเกลี้ยงเกลาประสาคนที่เกิดมาในครอบครัวที่ถูกทะนุถนอมมาอย่างดีตอนนี้ปรากฏสีแดงขึ้นพวงแก้มทั้งสองข้าง ก่อนจะเร่งฝีเท้าเข้าไปด้านใน แบคฮยอนสืบเท้าไปยังห้องเป้าหมาย...ที่ไม่ใช่ห้องของเขาเอง

แต่เป็นห้องที่อยู่ข้างๆกัน...

เคาะประตูรั้งสองครั้งบานประตูก็เปิด พร้อมกับสีหน้าไม่สบอารมณ์ของเข้าของห้องที่มองเขาอยู่พักก่อนจะปล่อยมือจากลูกบิดเป็นเชิงอนุญาตให้เข้ามาด้านใน ดวงตาเรียวไล่มองตามอีกฝ่ายที่สวมเสื้อกล้ามกับกางเกงขายาวเป็นปกติในเวลาตีสองแบบนี้ มือเรียวเกี่ยวเอาหูฟังของตนเองออกก่อนจะเอ่ยปากขึ้นเบาๆ

“เลิกงานนานรึยัง”

“ก็สักพัก...แล้วมึงมาทำเหี้ยไรดึกดื่นป่านนี้”อีกฝ่ายตอบก่อนจะหันมามองแบคฮยอนที่ปิดประตูลง ถอดรองเท้าเดินตามเข้ามาพลันวางถุงเบียร์ลง

“เราไปตามดูเซฮุนมา เขาพาแฟนไปดูหนัง”

“มึงนี่ก็โรคจิต แล้วก็มานั่งแดกเบียร์ในห้องกูเนี่ยนะ ถามจริงแม่มึงรู้มั้ยทำตัวแบบนี้?”

“ไม่อะ ไม่ได้บอก”แบคฮยอนสั่นศีรษะไปมาให้อีกคนนั่งเหลือกตาขึ้นฟ้า ในห้องโทนสีน้ำตาล-ครีม ตกแต่งด้วยเครื่องดนตรี เจ้าของห้องชื่อปาร์คชานยอล เรียนคนละมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ อีกฝ่ายเรียนดุริยางคศิลป์และรับจ๊อบเล่นดนตรีตามร้านเหล้าในเวลากลางคืน ส่วนเขาเรียนเภสัชอยู่มหาวิทยาลัยการแพทย์ที่ไม่ไกลจากกันเท่าใด ส่วนเหตุที่ทำให้พวกเขามาเจอกัน ก็คงเป็นตอนที่แบคฮยอนรู้สึกอกหักจากโอเซฮุน คนที่เขาทุ่มเทความรักให้เพียงฝ่ายเดียวมาตลอด เขาดื่มเหล้าจนเมาแล้วก็ทุบประตูห้องข้างๆแทนที่จะเป็นห้องตัวเองเพราะเปิดไม่ออก สำทับด้วยการอาเจียนหกเลอะเทอะให้ได้อับอายตอนสร่างเมา และแน่นอน ว่าห้องที่เกิดเรื่องนั้นคือห้องนี้...ห้องของปาร์คชานยอลผู้ที่ไม่เคยจะพูดเพราะๆกับเขาสักครั้ง

ชานยอลเป็นผู้ชายตัวสูง ผิวไม่ได้ขาวจัดแต่ก็เนียนพอสมควร ใบหน้านิ่งๆ ดวงตาที่คอยหรี่ลงบ่อยครั้งเพราะว่าสายตาสั้น ท่าทางสะอาดและดูเป็นผู้ชายที่ดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเขา(ที่ความสูงเท่าเด็กมัธยม แถมยังดูแลตัวเองได้ไม่ค่อยดีจนผู้เป็นแม่ต้องแวะมาหาที่ห้องทุกวันอาทิตย์ด้วยความเป็นห่วง) และเรื่องความรักของเขาที่มีต่อโอเซฮุนคนนั้นชานยอลก็รับรู้มันตั้งแต่วันแรกที่เขาเข้ามาอ้วกรดห้องพร้อมกับพร่ำเหมือนคนเสียสติ แต่นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้พวกเขาได้รู้จักกัน แบคฮยอนจรดเบียร์ริมฝีปากก่อนจะมองชานยอลที่เอนกายดูทีวีอยู่เงียบๆ

“ดื่มมั้ย?”

“ไม่อยาก”

“นายรู้มั้ย แฟนเขาน่ารักมาก ตัวเล็กๆ ผิวขาวๆ ตาโตๆเหมือนตุ๊กตา เราก็ตาสองชั้นนะแต่มันหลบใน ทำไมเขาไม่รู้เนาะ ฮ่าฮ่า”

“กูรู้แค่ว่า กูสูงเหมือนมัน กูเป็นผู้ชายเหมือนมัน กูมีทุกอย่างเหมือนมันยกเว้นอยู่อย่างเดียว”

“...”

“กูทำให้มึงรักไม่ได้เหมือนมัน”

“...”แบคฮยอนเงียบไปเมื่อชานยอลเอ่ยถ้อยคำเชิงพ้ออยู่เนืองๆด้วยท่าทีปกติราวกับไม่มีความรู้สึก ใช่... หลังจากที่พวกเขารู้จักกันมาสักระยะ ชานยอลก็สารภาพรักกับเขา แต่แบคฮยอนก็ไม่ได้ให้คำตอบเพราะว่ายังตัดเซฮุนออกไปไม่ได้ สถานะตอนนี้เลยค่อนข้างจะครึ่งๆกลางๆ พวกเขาเป็นมากกว่าเพื่อน แต่ก็ไม่ได้เป็นแฟนกัน เป็นสถานะไม่มีชื่อที่แบคฮยอนจะสามารถเรียกได้เสมอไม่ว่าจะหลอดไฟเสีย รถสตาร์ทไม่ติด จ่ายค่าไฟ ไปกินข้าว ชีวิตของแบคฮยอนผูกติดกับชานยอลแต่ไม่ใช่คนรัก แม้จะไม่ได้ตอบรับแต่แบคฮยอนกลับไม่ได้ถอยหนีคนที่มาสารภาพรักอย่างชานยอล และตัวชานยอลก็ยังทำทุกอย่างดังปกติยกเว้นจะตัดพ้อออกมาบ้างตามอารมณ์

“แล้วมึงจะนอนไหน”

“เดี๋ยวกลับไปนอนห้องก็ได้”

“งั้นก็ไปแดกที่ห้องดิ มาเคาะห้องทำห่าไร”

“ก็ไม่มีคนคุยด้วย...อย่าใส่อารมณ์ดิ”

“กูคนเสียงดัง รับไม่ได้ก็ไม่ต้องมา”

“...”

“เดี๋ยวกูไปหาเอง”




บางทีแบคฮยอนก็ตลกกับความสัมพันธ์น่าปวดหัวอย่างคนที่มาชอบไม่ชอบ ไปชอบคนที่ไม่ชอบ ที่น่าจะเป็นประสบการณ์ของใครหลายคนโดยที่เขาก็โล่งใจที่ไม่ได้รู้สึกแบบนี้อยู่ลำพัง เขาหลงรักโอเซฮุน นักเรียนแพทย์ร่วมมหาลัยมาสองปี รู้ทุกอย่างว่าอีกฝ่ายคบผู้หญิงมากี่คน (และยินดีอยู่คนเดียวเมื่อพบว่าสุดท้ายโอเซฮุนก็ทิ้งสาวเจ้าให้นอนเช็ดน้ำตากันหมด) แม้จะไม่เคยสารภาพรักเอง แต่ก็ไปป้วนเปี้ยนจนอีกคนจำชื่อได้ ทว่า...ความรู้สึกไล่ตามโอเซฮุนฝ่ายเดียวอย่างมีความสุขก็พังพินาศลงเมื่อผู้ชายร่างเล็กใบหน้าหวานหยดเหมือนกับตุ๊กตากระเบื้องที่ชื่อว่าลู่หานปรากฏตัว คล้ายว่าคนๆนี้เป็นถึงลูกนายพล ที่เหมาะสมกับโอเซฮุนที่เป็นหมอกันทั้งบ้าน แถมประจำทั้งโรงพยาบาลใหญ่ๆไปจนถึงเป็นแพทย์ส่วนพระองค์ของคนในวัง ส่วนแบคฮยอนที่พ่อเป็นเภสัชกร แม่เป็นแม่บ้าน เพียงแค่นี้ก็ดูต่างจนให้หาความเหมาะคงง่ายกว่าความต่างเหล่านั้น

แต่เพราะความเจ็บปวดที่ไม่สามารถมองตามโอเซฮุนอย่างมีความสุข(แต่ก็เลิกมองไม่ได้) ทำให้เขาได้เพื่อนใหม่อย่างชานยอล คนที่ไม่เคยพูดเพราะกับใครสักคน เสียงเล่าลือว่าชานยอลคือตัวอันตราย ด้วยสีหน้าเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อคนอื่น (ทั้งที่แค่สายตาสั้น) คำพูดห้วนๆไม่เป็นมิตรกับใคร (แม้แต่อาจารย์) แต่ก็ใจดีกับเขาอยู่เสมอ และแบคฮยอนก็ไม่รู้ว่าอีกคนเอาอะไรมารักเขา เห็นอะไรในตัวของเขากันแน่ หรือประทับใจการอ้วกรดห้องแบบไร้ทิศทาง ถึงได้สารภาพรักกับเขาเมื่อเดือนก่อน แต่ก็ยังถือว่าโชคดีที่แม้ว่าจะไม่ได้ตอบรับ ก็ไม่เคยหนีหน้า ยังทำตัวเหมือนเดิม (และแน่นอนว่าไม่ได้พูดเพราะขึ้นแต่อย่างใด)

“แบคฮยอน แฟนมารับอะ”

เสียงของเพื่อนที่ตะโกนจากหน้าตึกทำให้ร่างกะทัดรัดที่นั่งอ่านเลคเชอร์อยู่ข้างในเลิกคิ้ว ก่อนจะยื่นหน้าออกมานอกหน้าต่างและพบปาร์คชานยอลกำลังนั่งรออยู่บนเวสป้าสีครีม และหมวกกันน็อคสีน้ำตาลใบเดิม แบคฮยอนรีบเก็บของใส่กระเป๋าก่อนจะเดินออกมาพูดเสียงอ่อย

“เพื่อน ไม่ใช่แฟน”

“มารับทุกวันเลยเนี่ยนะ จ้างเดือนกี่วอนอ่ะ”

“บ้า ไม่ได้จ้างสักหน่อย”

“ตอบหยั่งกับดารา ฮ่าฮ่า”เมื่อโดนแซวมากๆสองขาก็รีบสาวออกมาหาชานยอลที่รออยู่ เส้นผมสีบลอนด์เงินที่แลบออกมานอกหมวกกันน็อคแบบครึ่งศีรษะทำให้อีกฝ่ายเหมือนคุณลุงมากกว่าจะเป็นเพื่อนร่วมปี แบคฮยอนรับหมวกมาสวมโดยที่อีกคนก็ถามสั้นๆ

“เป็นเหี้ยอะไรกัน”

“เพื่อนแซวว่าแฟนมารับ”

“ตอบไปว่าไง”

“ไม่ใช่แฟน เพื่อน”

“ไม่รักก็ลงรถไป”เสียงห้วนๆของชานยอลทำเอาแบคฮยอนเบ้ปาก เพราะเสียงของชานยอลไม่เคยจะรื่นหูสำหรับใคร พอบวกกับเนื้อความที่ไม่เป็นมิตรต่อผู้คนเลยทำให้ระคายหูเป็นสองเท่าจนแบคฮยอนแน่ใจว่าถ้าคนอื่นพูดอาจไม่ดูน่าโมโหเท่านี้ เจ้าตัวถอดหมวกกันน็อคยัดใส่อีกคนก่อนจะเดินเท้าดุ่มๆด้วยความหมันไส้ แบคฮยอนคิดว่าตัวเองเป็นคนอารมณ์เย็นมาตลอด... จนกระทั่งมาเจอคำพูดคนๆนี้ที่ลอยกระแทกหูบ่อยๆนี่แหล่ะ




เสียงเวสป้าดังเข้ามาใกล้พร้อมกับเสียงบีบแตรให้น่าหงุดหงิด...
ก่อนจะตามด้วยประโยคๆหนึ่ง...


“ขึ้นรถเหอะ...กูรักมึง”




สายลมที่โชยเข้าบนถนนที่แบคฮยอนไม่เคยมองเห็นเพราะมีแผ่นหลังของชานยอลบังอยู่ตลอดนั้นปลายทางไปที่ร้านที่ชานยอลทำงาน บางวันที่เลิกเรียนไวและยังไม่อยากกลับไปนอนเบื่อในห้อง แบคฮยอนชอบขอให้ชานยอลมารับไปที่ร้านด้วยเสมอ บางทีก็ไปนั่งดื่มแบบลูกค้า หรือไปช่วยเล็กๆน้อยๆตามสมควร และแบคฮยอนก็มั่นใจว่าตัวเองคุยเก่งประมาณหนึ่งจึงได้สนิทกับเจ้าของร้านอย่างรวดเร็ว

กลิ่นโคโลญจน์อ่อนๆจากตัวชานยอลเป็นกลิ่นที่แบคฮยอนชินชาไปเสียแล้ว และเขาได้รับกลิ่นนั้นอยู่เสมอในยามที่อีกคนอยู่ใกล้ๆ บางทีแบคฮยอนก็รู้สึกกลัว หากว่าเขาไม่ได้ตอบรับแล้วชานยอลทนไม่ได้ หายไปจากกันเขาจะเป็นยังไง เพราะตอนนี้นอกจากแอบมองเซฮุนอย่างที่เคย ชีวิตของแบคฮยอนก็ใกล้ชิดกับชานยอลราวกับฝาแฝดตัวติดกันก็ไม่ปาน...

สุดท้ายก็มาถึงร้านโดยสวัสดิภาพ  โดยที่วันนี้แบคฮยอนจะทำหน้าที่ลูกค้าที่ดี หลังจากที่ทักทายพี่เจ้าของร้านที่เป็นชายหนุ่มหุ่นหมีผิดกับภรรยาที่สวยเพรียวสะโอดสะอง ที่หนังด้านหน้าเวทีก็เป็นของแบคฮยอนอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่แปลกนักถ้าจะมีนักศึกษามานั่งดื่มในร้านเหล้าแถวมหาวิทยาลัยตอนเย็นๆ เพราะไม่นานนักคนอื่นๆก็ทยอยเข้ามาเช่นกัน ทั้งยังคงเครื่องแบบหรือชุดลำลอง ที่นี่จัดอยู่ในบรรยากาศสบายๆ ก่อนจะเริ่มเปิดเวทีด้วยชานยอลในช่วงหัวค่ำ แต่ก่อนหน้านั้นเหมือนว่าคุณนักดนตรีตาจิกจะมานั่งกินข้าวอยู่กับเขาที่โต๊ะหน้า ระหว่างที่ลูกค้ายังฮาเฮไปกับเพลงเปิดคลอเบาๆผ่านลำโพง

“แดกได้แล้วดิ”ชานยอลที่ยังคีบซี่โครงหมูอบคลุกข้าวหันมาเอ่ยถามแบคฮยอนที่นั่งแกะถั่วแระญี่ปุ่นต้มกับโซจู คิ้วเรียวเลิกเล็กน้อยก่อนจะย้อนถามกลับ

“กินอะไรอะ”

“ถั่วเนี่ย ไหนมึงบอกเหม็นเขียว”ตาเรียวก้มมองของในจานแล้วก็นึกขึ้นได้ ใช่ที่ตอนแรกเขาไม่ชอบถั่วนี่เลยด้วยซ้ำ มันเหม็นเขียวแล้วก็ไม่น่ากินเอาซะเลย แต่เพราะจิ้มมาผิดเลยต้องนั่งทนกินโดยที่ตอนนั้นชานยอลก็มาช่วยกินไปส่วนหนึ่ง ทว่าพอกินไปเรื่อยๆเขาก็รู้สึกว่ากลิ่นไม่ใช่เรื่องหนักหนา และมันก็ค่อนข้างอร่อยและเหมาะกับโซจูสำหรับเขาแม้จะโดนมองแปลกๆไปหน่อยก็ตาม

“ก็กินไปแล้วมันอร่อยนี่ เปลี่ยนใจได้ป้ะล่ะ”

“ที่ถั่วแระต้มมึงยังเปลี่ยนใจมาแดกได้ กูคนเดียวทำไมเปลี่ยนใจมารักไม่ได้วะ”

“พูดมากอะ ไปทำงานไป”ดันต้นแขนคนพูดไม่เพราะออกไปเมื่อเห็นว่าอีกคนทานเสร็จเรียบร้อยดี ชานยอลเตรียมตัวอยู่ครู่ ก่อนจะนำกีตาร์คู่ใจขึ้นไปบนเวที และในตอนนั้นเองที่แบคฮยอนได้ฟังคำเพราะๆจากชานยอลผ่านเนื้อเพลง เสียงของชานยอลไม่ได้จับใจถึงขั้นนักร้องอาชีพ แต่เสียงดนตรีผ่าปลายนิ้วนั้นเหมือนจะพาเขาลอยขึ้นไปบนที่สูง... เขารู้สึกได้ว่าเพลงทุกเพลงที่ชานยอลเล่นมันเต็มไปด้วยความรู้สึก เสียงเพลงเล่นเดี่ยวของชานยอลจบลงพร้อมกับเสียงปรบมือของลูกค้า ก่อนที่พี่ๆในร้านคนอื่นมาร่วมเล่นดนตรีด้วยกัน เสียงเพลง แอลกอฮอล์ แสงไฟมันทำให้ขีดความสุขของแบคฮยอนตีขึ้นสูง แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดลุกขึ้นมาเต้นเหมือนคนอื่นๆ เวลาผ่านไปพร้อมกับโซจูขวดที่หกซึ่งหมดลง ชานยอลก็หมดคิวเล่นเพลง แบคฮยอนเองก็นั่งรออยู่พร้อมกับความรู้สึกเลื่อนๆลอยๆ ร้อนๆใบหน้าประสาคนเริ่มจะเมา

“นั่งหน้าแดงเลยนะมึงอะ จะเมาเหมือนหมาอีกมั้ย”

“เมาไร..เรากินไปไม่เยอะนะ”

“ครึ่งลังเนี่ยนะ ปกติมึงแดกทีละสองลังเหรอ”ชานยอลนั่งลงข้างๆก่อนจะพบว่าอาการของคนตัวเล็กเริ่มไม่ไหว เขาจึงไปติดต่อเจ้าของร้านก่อนจะพาคนตัวเล็กๆกลับด้วยการจับนั่งซ้อนท้าย พอจะสวมหมวกกันน็อคให้ก็เหมือนพร้อมจะหงายหลังทุกเมื่อ ชานยอลจิปากขัดใจ ก่อนจะเปลี่ยนเอาตัวเองไปนั่งซ้อนด้านหลังและเป็นคนขับโดยที่อีกฝ่ายคอพับอยู่ด้านหน้า แบคฮยอนพิงแขนของชานยอลแล้วหลับตาในขณะที่เวสป้าสีครีมก็แล่นออกจากร้านเพื่อกลับหอ

แม้จะเมา...แต่แบคฮยอนก็ถามตัวเองเสมอว่าเพราอะไรเขาถึงไม่เคยได้รับความรักจากโอเซฮุนบ้าง ทำไมถึงเป็นได้เพียงคนรู้จักทั้งที่อยากเป็นมากกว่านั้น หรือผิดที่เขาไม่กล้าเข้าไป... ที่เขาไม่กล้าเข้าไปเพราะเขารู้ดีว่าถ้าเข้าไปก็ต้องออกมา เขายังอยากแอบรักโอเซฮุนต่อไปเรื่อยๆอย่างไม่ต้องเจ็บกับการถูกผลักไส คิดเอาเองแบโง่ๆว่านี่เป็นทางออกที่ดีสำหรับการจะรักใครสักคน

แต่ความเป็นจริงแล้ว...การที่เห็นคนที่ชอบรักกับคนอื่นมันเจ็บกว่าที่คิดเอาไว้มากกว่านั้น...

แบคฮยอนคิดเสมอว่าที่ของคนที่ชื่อลู่หานหากเป็นเขาจะเป็นยังไง...เขาอยากให้เซฮุนยิ้มให้เขาแบบที่คนที่ชื่อลู่หานได้รับ แต่เขาได้แค่คิด ในเมื่อเขาไม่กล้าพอที่จะพูด ก็ต้องกล้าที่จะทนมองเขามอบความห่วงใยให้คนอื่น ทั้งที่คิดว่าอีกไม่นานเซฮุนคงทิ้งแบบที่ผ่านมา แต่แบคฮยอนกลับรู้สึกว่ายิ่งนาน ทั้งสองคนก็เหมือนจะหยั่งรากลึกไปเรื่อยๆ จนไม่มีทางถอนความรักคนทั้งสองออกมาได้อย่างแน่นอน...นอกจากจะถอนใจตัวเอง

และแน่นอนว่าแบคฮยอนไม่กล้าทำอะไรทั้งนั้น...



“จะนอนบนเบาะนี่เหรอ ลงดิวะ”

“...”

“เฮ้ย”เสียงอีกคนปลุกสองสามครั้งแต่แบคฮยอนคิดว่าเขาพยุงตัวเองไม่ไหว จนรู้สึกเหมือนโดนแบกขึ้นหลัง ใช่...ชานยอลแบกเขาขึ้นหลังก่อนจะพาเข้าลิฟต์ไปชั้นหก และเข้าไปในห้องของชานยอลเอง แบคฮยอนถูกวางลงบนเตียง โดยที่จ้าตัวก็ทำได้แค่นอนนิ่งๆกับสติครึ่งๆกลางๆ เขาได้ยินเสียงน้ำ ก่อนที่มันจะเงียบไป และได้กลิ่นน้ำยาปรับอากาศในห้อง แบคฮยอนหรี่ตาเล็กน้อยเมื่อรับรู้ว่ามีผ้าเช็ดเบาๆที่ข้างแก้ม

“เช็ดเองได้มั้ย”

“...”แบคฮยอนสั่นศรีษะช้าๆเพราะรู้สึกหนักไปทั้งศีรษะ ก่อนจะได้ยินเสียงถอนใจแรง

“เมาแล้วเป็นง่อยนะมึงอะ”

“...”

“เดือดร้อนกูมั้ยล่ะ ไม่มีกูสักคนมึงจะอยู่ยังไง...คนที่มึงแอบชอบอะเขาไม่มาทำอะไรให้มึงหรอกนะ มีแต่กูที่มึงไม่เอาเนี่ยแหล่ะที่ทำให้มึงทุกอย่าง”เสียงบ่นจากชานยอลดังขึ้นและแบคฮยอนเองก็ขยับริมฝีปากยิ้มเล็กน้อยเมื่อรู้สึกสบายตัว ชานยอลแค่เช็ดตัวให้พร้อมกับคลายเข็มขัดและไม่ทำอะไรมากไปกว่านั้น ลากคนตัวเล็กไปไว้กลางเตียงก่อนจะเดินอ้อมมาอีกฝั่งเพื่อล้มตัวนอนข้างๆอย่างไม่คิดล่วงเกิน ก่อนจะได้ยินเสียงแผ่วๆกับคนที่กึ่งเมากึ่งมีสติ

“ชานยอล”

“เออ”

“...ขอบใจนะ”

“ช่างเหอะ กูชินกับการมีมึงเป็นภาระ”อีกคนตอบ“กูรู้...ต่อให้กูดีกับมึงสักพันครั้ง...ที่นั่งในใจมึงก็ไม่ใช่ของกูอยู่แล้ว”

“...”

“แต่มันเรื่องของกู กูเต็มใจ นอนละ”

แม้จะเบาราวกับเสียงกระซิบจากฝั่งกิโลเมตร แต่ในเวลาแบบนี้ก็มากพอที่จะให้แบคฮยอนได้ยินและแย้มริมฝีปากออกมา เขานอนหลับไปทั้งอย่างนั้น และชานยอลเองก็หลับตาลงนิ่งๆเหมือนพักผ่อนจากเรื่องที่ผ่านมาทั้งวัน




แม่ของแบคฮยอนเคยบอกเขาว่า...คนเรามันจะดึงดูดคนที่เหมือนๆกัน...

สำหรับพวกเขา...ก็คงเป็นคนที่แอบรักที่แสดงออกคนละวิธีเพียงเท่านั้น....