วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2558

[SF] หมวย (Sehun x Luhan) (2)










Title: หมวย (2)
Image: SEHUN x LUHAN
Author: RUNAWAY05
Note: ก็หมวยนี่คะ...


จะให้เราพูดว่าชีวิตเราปกติก็คงเป็นไปไม่ได้ หลังจากที่คุณชุนได้โผล่หน้าเข้ามาในชีวิตเราพร้อมน้ำเต้าหู้เซเว่น (บางวันก็เป็นไวตามิลค์เพราะน้ำเต้าหู้หมด) เอาเป็นว่าเขารู้กันทั้งออฟฟิศว่าคุณชุนสนิทกับเรา ทีนี้ก็เลยไม่มีใครกล้านินทาเราให้ได้ยิน เจ๊จุ๋มบอกว่าพอเป็นอย่างนี้แล้วแกก็ได้อานิสงไปด้วย ถ้ามีใครไปนินทาเจ๊จุ๋มว่างก เจ๊จุ๋มจะได้มาฟ้องเราให้ไปบอกคุณชุน ถือว่ามีผลประโยชน์ร่วมกัน แต่เราก็คิดว่ามันแหม่งๆอยู่นะ

เราทำงานที่ออฟฟิศไปได้หกเดือน ชีวิตก็ไม่ได้สมบูรณ์มากนัก แต่ยังดีที่มีพ่อกับแม่อยู่ เราไม่มีญาติหรอก เพราะมีก็เหมือนไม่มี ต่างคนต่างแยกย้ายไปทำนั่นทำนี่จนเหมือนจะลืมกันไป ใครที่มีครอบครัวใหญ่ๆเราก็อิจฉาเหมือนกันนะ แต่แวดวงบ้านเราพึ่งคนข้างบ้านได้มากกว่าญาติแท้ๆ เลยคิดว่าไม่มีญาติมันอาจจะสบายใจกว่า

ส่วนเรื่องความสัมพันธ์กับคุณชุน(ที่ไอ้อี้หลังจากเราโทรไประบายก็ไลน์มาขออัพเดทเช้าเย็น) ก็เหมือนเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องนอกเวลางาน ส่วนเวลาร่วมงานเราก็เป็นลูกน้องเขา แต่ใจเรามันไม่ได้ซื่อใสเหมือนหน้าตา จริงๆเราก็เครียดนะ เรากลัวคุณชุนแกจะกลัวเรา เพราะผู้ชายที่เหยียดเกย์มันยังมีอยู่ในประเทศไทย ความเหยียดเพศยังซึมซับไปถึงตัวบทกฎหมาย เรารู้ตัวว่าเราชอบคุณชุน แต่ถ้าถามว่าเราเป็นเกย์เหรอ เราตอบว่าไม่ เราไม่ได้เป็นผู้ชายที่ชอบผู้ชายทุกคน แต่เราเป็นผู้ชายที่ชอบคุณชุน แล้วคุณชุนดันเป็นผู้ชาย...เท่านั้นเอง

คุณชุนกับเราคุยด้วยกันหลายเรื่องนะ คุณชุนเองแม้ว่าสมัยเป็นอีติ๋มเทอร์โบจะถนัดแต่เล่นหมากเก็บ แต่พอโตมาแกก็เล่นบาส เล่นบอล ขับรถ ประสาผู้ชาย ส่วนเราชอบเล่นบอลมาแต่ไหนแต่ไร (ไม่ใช่พนันนะ) แต่เสียดายอยู่อย่าง คุณชุนไม่ได้เชียร์ทีมเดียวกับเรา แต่เวลาเล่นเกมฟีฟ่าแกก็จะเลือกทีมที่เราชอบตลอด ไม่รู้ทำไม ส่วนเรื่องเหล้ายาปลาปิ้ง คุณชุนดื่มบ้างประสาผู้ชาย แต่ไม่สูบบุหรี่ ผับเผิบไม่ค่อยไป แกว่าเหม็นบุหรี่ หากจะไปดื่มแกชอบไปพวกร้านแบบลานเบียร์สดมากกว่า

เรื่องผู้หญิงนี่ก็เหมือนเดิม สาวๆมาคอยท่าทุกวัน แต่ไม่ยักเห็นคุณชุนจะสนใจใคร ได้ข่าวจากเจ๊จุ๋มว่าคุณชุนเคยมีแฟนมาแล้วคนนึง และเลิกกันไปหลายปี เราเลยคิดว่าเขาคงจะเข็ดเรื่องความรัก ในขณะที่เราเองผู้ชายผู้หญิงมาขอความรักตั้งแต่สมัยอยู่ลาดกระบัง เรายังนึกกลัว เรากลัวร้องไห้แบบไอ้อี้มัน แต่พอเช็คชีวิตมัน ปรากฏว่ามันได้แฟนเป็นเจ้าของไร่กาแฟอยู่เชียงใหม่ เป็นพ่อม่าย เท่าที่เห็นในเฟซบุ๊กก็ผิวขาวๆตัวเตี้ยๆหน่อย จะว่าไปไอ้อี้มันก็ทำตามที่มันเคยบอกเรานะ ว่ามันจะไม่รักผู้หญิงที่ไหนอีกแล้ว หายจากกันไปปีกว่ามันเลยรักกับผู้ชายแทน นับถือใจมันประมาณนึง

ส่วนเงินเดือนเราเริ่มขยับไปหมื่นแปดเพราะบวกโบนัสเพิ่มเติม แถมด้วยโอที ซึ่งตรงนี้คุณชุนให้ฝ่ายบุคคลกับเจ๊จุ๋มทำใบเงินเดือนเพิ่มเติมให้ คนอื่นจะได้ว่าเราไม่ได้ว่าขึ้นเพราะไต่เต้า (หรือเอาเต้าแบนๆไต่) เพราะหลังจากเลิกงาน บางวันเราไปกินขนม ไปเดินเที่ยว แต่บางวันก็ต้องลุยงานถึงสี่ห้าทุ่ม เพราะติดปัญหาทางนั้นทางนี้ ก็ติดสอยห้อยตามคุณชุนแกไป เพราะว่าเราออกตัวมาก่อนล่ะว่าเคยรู้จักกัน ถ้าคนไม่รู้จักกันเลยมาทำแบบนี้ เราคงโดนนินทาว่าเลียขาเจ้านายแน่นอน


“พี่หมวย...ผมว่าเปลี่ยนสีเว็บเป็นสีนี้ดีมั้ย?”
“พี่หมวย...ดีลกับชิปปิ้งนี้น่าจะดีกว่านะผมว่า บริษัทนี้ใช้ไม่ได้เลย”
“พี่หมวย...ผมว่าติดต่อกับพวกร้านบรรจุภัณฑ์เพิ่มดีรึเปล่า ไปรษณีย์ทำของลูกค้าแตกอีกแล้วเนี่ย”


ก็เพราะคุณชุนเป็นซะอย่างนี้...เรื่องที่ควรเอาไปถามแผนกนั้นๆแกเล่นเอามาบ่นกับเราที่เป็นบัญชีหมด เราเลยถูกให้ออกจากบัญชีและเปิดรับสมัครบัญชีคนใหม่ ส่วนเราย้ายไปเป็นเลขาให้คุณชุนแทน เจ๊จุ๋มแกก็ดูไม่ได้เสียดายอะไรเรานัก แค่กำชับว่าได้ดีอย่าลืมกัน... สุดท้ายเราก็เลื่อนจากบัญชีทั่วไปเป็นเลขาผู้บริหาร เงินเดือนดีดเป็นสตาร์ทสองหมื่นหก ตอนนั้นเราดีใจมากถึงกับแอบโทรไปบอกพ่อกับแม่ในห้องน้ำ แต่พ่อบอกว่าให้ส่งเดือนละห้าพันก็พอ ที่เหลือก็ใช้จ่ายกับออมเงินไว้บ้าง ซึ่งเราก็เริ่มคิดเหมือนกัน ชีวิตมันเข้าที่แล้ว เก็บเงินไว้เลี้ยงตัวเองตอนแก่ๆจะดีกว่า

พอมาช่วยงานคุณชุน เราก็คิดว่าเขาเก่งมากจริงๆ คุณชุนเป็นผู้ชายที่ทำงานเก่ง ใจดีกับลูกน้อง เป็นหัวหน้าที่ดีแม้จะอายุยังน้อยถ้าเทียบกับคนอื่น แกเข้าถึงทุกคนไม่ว่าจะพวกคุณนายตามห้างร้าน หรือแม้กระทั่งวินมอเตอร์ไซค์แม่ค้าขายข้าวแกง ใครเดินย่านออฟฟิศแล้วถามหานายฝรั่งล่ะก็ ทุกคนจะรวมใจชี้มาที่ออฟฟิศได้ทันที ซึ่งใครที่อ่านเรื่องของเรา และคิดว่าเราได้เป็นเลขาคุณชุนต้องไปกินอะไรหรูๆทุกวันคือผิดถนัด แกเป็นคนกินง่ายมาก บางวันยุ่งมากก็สั่งส้มตำรถเข็นกับไก่ย่างห้าดาวข้างล่างออฟฟิศนั่นแหล่ะมากิน วันไหนด่วนมากๆก็กินข้าวกล่องเซเว่นไปเลยก็มี ส่วนเราพอเงินเดือนขยับ บวกกับอยากดูดีกับคนที่ชอบก็เลยเริ่มจัดอาหารคลีน แต่คุณชุนไม่ชอบอาหารคลีน แกบอกเหมือนอาหารนก คนเราทำอาหารคนมาให้กินไม่ชอบกิน ไปหากินเม็ดถั่วเม็ดงาเหมือนนก พอฟังแบบนั้นตกเย็นเราเลยไปนั่งกินข้าวขาหมูกับคุณชุนเหมือนเดิม

จนวันนึง หลังจากที่เจ้าสัวอนุมัติงบมาให้คุณชุนขยายพวกสถานที่จัดส่ง และติดต่อกับพวกศูนย์ขนส่งที่ต่างๆทั่วประเทศ ซึ่งวันนั้นเหมือนว่าเราต้องไปคุยงานที่พัทยา คุณชุนแกจะขับรถเอง ออกจากที่ออฟฟิศแปดโมง เราตามคุณชุนแกขึ้นรถแพงที่แกจับแบบนานชาติครั้ง เราก็ไม่รู้นะว่ารถที่แกขับมันดีเลิศขนาดไหน รู้อย่างเดียวว่าน่าจะแพง แต่เวลาติดมอเตอร์เวย์เราเห็นคนรถคันข้างๆมองตาละห้อยทุกที

“พี่หมวยเคยไปพัทยามั้ย?”คุณชุนถาม ซึ่งคำตอบเราก็ไม่ยากเลย

“ไม่เคยนะ ไกลสุดในชีวิตก็ตึกลูกเต๋าปทุม”เราพูดถึงตึกวิทยาศาสตร์สมัยไปทัศนศึกษาตอนมัธยม คุณชุนแกได้ยินก็หัวเราะร่า ใช่สิก็เรามันไม่มีบุญไปถึงเยอรมัน

“มาพัทยานี่ไกลกว่าปทุมอีกนะ ถ้ายอดขายดีขึ้นเรื่อยๆ ต่อไปก็ดูงานที่ญี่ปุ่น อเมริกา ไปเยอรมันก็ได้ ผมพาไป”

“กว่าจะไปรอบโลกแบบนั้นคงได้นั่งหน้าคอมอีกหลายปี”

“อย่างพี่นั่งน่ารักอย่างเดียวก็พอแล้ว” ดูเขาหยอด...ยิ่งบอกอยู่ว่าไม่ใช่อิฐใช่ปูน เห็นเราเป็นจอมปลวกหรืออย่างไรจะพูดหยอดอะไรก็พูด

“ล้อพี่เล่นอีกแล้วนะ”

“ผมพูดจริง พี่ไม่เชื่อผมเอง”คุณชุนว่าเสร็จก็นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไปคนเดียว พอขับมาได้สองชั่วโมงครึ่ง เพราะรถตรงศรีราชาติดเหลือใจ ก็ได้ไปคุยงานจนเรียบร้อย ก็คงจะกลับปกตินะถ้าจู่ๆเจ้านายเราไม่อยากจะเที่ยวพัทยาขึ้นมาเสียก่อน

“พี่หมวย ผมว่าเปิดห้องสักคืนดีกว่า ผมอยากเที่ยว มาแล้วกลับเสียเที่ยวแย่”

“เอางั้นเหรอครับ...”

“พี่ต้องกลับบ้านรึเปล่า? ถ้ากลับบ้านก็จะได้ไม่พักกัน”เราชั่งใจอยู่พักใหญ่ จนสุดท้ายก็ยอมตามใจคุณชุน ไม่ใช่เราเห็นผู้ชายดีกว่าพ่อแม่นะ แต่เราว่าไหนๆก็มาแล้ว แวะเที่ยวสักหน่อยคงไม่เป็นไร เราโทรไปบอกพ่อกับแม่แกก็ไม่ว่าอะไร แกขอแค่ของฝากสักหน่อยก็พอ เราเลยเริ่มรู้สึกผิดตรงแกขอของฝากนี่แหล่ะ เพราะตั้งแต่เล็กจนโต เราพ่อแม่ลูกอยู่เยาวราชมาตลอด ไม่เคยไปไหน อย่างไกลก็แม่น้ำเจ้าพระยา พ่อกับแม่ไม่เคยเห็นทะเลเลยด้วยซ้ำ เราเลยกะว่าจะเก็บเงินซื้อรถ ถ้ามีวันหยุดจะพาแกมาให้ได้

 คุณชุนพาขับวนอยู่สองรอบ ก่อนจะพามาที่โรงแรมแกรนด์เบลล่า คุณชุนบอกว่าถ้าจะไปพักโรงแรม ให้ติดต่อหน้าโรงแรมโดยตรง อย่าไปไว้ใจอะไรพวกเว็บหาโรงแรม ราคามันโม้กว่าที่โรงแรมตั้งไว้ สรุปคือเราได้ห้องจูเนียร์สวีทมา รวมบุฟเฟ่ต์ก็คืนละสองพันห้า เรานี่แทบเป็นลมคาแผนกต้อนรับ ยังดีที่คุณชุนบอกว่าเดี๋ยวไว้ทำเรื่องเบิกกับเจ๊จุ๋มเอา ก็เลยโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง

เราเดินไปตามทางเดินสีฟ้า-เหลืองจนถึงชั้นห้า ก่อนจะพบว่าห้องสวยมาก เป็นทางเข้าไป และแยกขวาเป็นห้องนอน ห้องน้ำ ตรงไปก็เป็นห้องนั่งเล่น มีระเบียง ข้าวของเครื่องใช้ครบหมด ซึ่งดูดีกว่าที่เราคิดเอาไว้ แต่ก็นิ่งไปนิดนึงตรงที่เตียงมันเป็นเตียงเดี่ยวสำหรับสองคน คือสำหรับคนที่คิดอะไรๆแบบเรามันคงไม่ดีต่อหัวใจ เราว่าเราจะมานอนริมระเบียง แต่คุณชุนแกไม่ให้ แกพูดว่า

“ผู้ชายด้วยกันพี่กลัวอะไรครับเนี่ย”

ไอ้เราจะตอบว่ากลัวใจ...แต่นี่ก็ไม่กล้า....




หลังจากวางสัมภาระเรียบร้อย คุณชุนก็พับแขนเสื้อขากางเกง พาเราที่ยังใส่ชุดทำงานลงมา พาเราไปหาที่เช่ามอเตอร์ไซค์ เห็นว่าเที่ยวแบบนี้ไปรถยนต์มันไม่สนุก เราก็ตามใจแหล่ะเพราะเป็นเบ๊เขา ค่ามอเตอร์ไซค์เช่าสองร้อย มัดจำพันนึงพร้อมบัตรประชาชน เท่านั้นแหล่ะเราถึงได้เห็นนามสกุลแท้ของทั้งพ่อทั้งแม่ของคุณชุนที่เอามารวมกับชื่อแล้วยาวทอดลงกลางอ่าวไทย จนได้มอเตอร์ไซค์พร้อม คุณชุนแกก็อาสาเป็นคนขับ ถึงเราจะขับรถยนต์ไม่เป็น แต่สมัยอยู่ลาดกระบังก็เป็นขาแว้นเหมือนกันนะ แต่ขับเป็นก็เท่านั้น เจ้านายบอกจะขับเอง เราจะทำอะไรได้...

กลิ่นเค็มๆของทะเลมันทำให้เราตื่นเต้น คุณชุนก็บิดรถสนุกสนานของแกไป สักพักเราถึงรู้สึกว่าคุณชุนมาดึงมือเราให้เอากอดเอวเขาเอาไว้ ตอนนั้นเราคิดว่าถ้าเราเล่าไอ้อี้ฟัง มันต้องว่าเราใจง่ายแน่ๆ เราเลยว่าจะชักมือกลับ แต่คุณชุนแกเล่นโชว์เหนือขี่มอเตอร์ไซค์มือเดียว ส่วนอีกข้างก็กุมมือเราไว้ให้เกาะเอวเอาไว้แบบนั้น

“คุณชุน...มันอันตรายนะ”เราท้วงไปเพราะรถเยอะจริงๆ สักพักเขาก็ตอบเรากลับมา

“อยากให้ขับสองมือใช้มั้ยครับ?”

“ก็...อื้ม”

“พี่ก็กอดเอวผมสองข้างสิ ไม่งั้นก็ขับแบบนี้ล่ะ”

“...”

“รถล้มนะ”

“เอ้อ”พอเห็นเราไม่ตอบก็ข่มก็ขู่กันเสียอย่างนั้น...พ่อคุณเอ๋ยไม่นึกถึงใจกันบ้างเลย... เราเอื้อมมือไปเกาะเอวคุณชุนไว้ เหลือบเห็นโหนกแก้มแกยกเหมือนกำลังยิ้มอยู่อย่างไรอย่างนั้น เราไปถึงชายหาด ของไม่ได้แพงมากมายอะไรนัก ยังอยู่ในราคาที่พอรับได้ ทะเลไม่ได้สีฟ้าใสแจ๋วเป็นกระจก แถมยังมีเรือแล่นไปเล่นมา แต่พวกฝรั่งนุ่งบิกินี่ก็ยังมาเล่นน้ำกันคับคั่ง เหนียวหัวก็เหนียว ได้แต่ถ่ายรูปกับซื้อของเลียบหาดไว้ไปกินที่โรงแรมแทน ทั้งหมึกย่าง ไข่หมึก ข้าวเหนียวหมู ที่ซื้อๆนี่คุณชุนกินทั้งนั้น แกเลือกของแกเอง เราแค่เออๆออๆตามแกไป

จนกลับมาถึงโรงแรม พ่อคุณเขาก็อยากจะว่ายน้ำ เราก็ลูกน้องนะไม่ว่ายก็ไม่ได้ คุณชุนแกไปแวะซื้อเสื้อผ้ามาอย่างดี ไอ้ครั้นจะลงไปชั้นล่างฝรั่งก็เต็มไปหมด คุณชุนก็ไปถามแม่บ้านจนได้ความว่าที่ชั้นแปดมีสระว่ายน้ำอยู่ เสร็จเขาเลย เราก็ใจง่ายตามนายไปชั้นแปด  ปรากฏว่าไม่มีฝรั่งมาว่ายสักคน เหลือพื้นที่ให้เราเป็นพะยูนแหวกว่ายสายน้ำอยู่แบบนั้น

“พี่หมวย เร็วๆดิ”

“ครับๆ”รีบรับคำเดี๋ยวนายจะกริ้ว สุดท้ายก็ไปลอยคอป๋อมแป๋มอยู่ที่สระดาดฟ้าแบบสองต่อสอง เงยหน้าขึ้นไปก็เจอท้องฟ้า ก้มหน้าลงมาก็เจอคุณชุนแกยืนเสยผมอยู่ ไหล่กว้าง กล้ามแกเป็นสัดเป็นส่วนจนเราจำสภาพตอนเป็นน้องติ๋มเทอร์โบแทบไม่ได้ เรารีบหดตัวลงน้ำตอนที่แกว่ายมาใกล้ๆ เราไม่รู้ว่าจะทำยังไง จะหนีก็ไม่ได้เพราะเป็นเจ้านาย จะให้รอรับมันก็เขินนะ เห็นแบบนี้ก็ขี้อายประมาณนึง

“พี่เอาแต่เกาะขอบสระ ว่ายน้ำไม่เป็นเหรอครับ?”

“ว่ายเป็น...” แต่เห็นไหล่กว้างๆเปียกน้ำมันไปไม่เป็น... เราก็ได้แต่ตอบในใจอีกแหล่ะ

“ก็มาเล่นกันสิครับ”ไม่พูดเปล่า คุณชุนค่อยๆเคลื่อนหา แต่เราก็ถอยหนีไปเรื่อยจนถึงคราวซวยเพราะไปติดมุมขอบสระ คุณชุนยันมือกับขอบสระสองข้างและเราก็รู้สึกว่าตัวเราเล็กไปเลย เราตัวแข็งทื่อ คนที่แอบชื่นชอบมาอยู่ตรงหน้าแบบนี้ ใครใจแข็งอยู่ได้ก็แข็งใจไป เรานี่ตะคริวแทบกิน ได้แต่อยู่นิ่งๆจนคุณเขาเอามือมาลูบผมให้ นิ้วมือคุณชุนแตะเข้ากับขี้แมลงวันเหนือคิ้วขวาของเรา แกจิ้มเบาๆเหมือนกดปุ่มอย่างไรอย่างนั้น เราก็ได้แต่หดคอหนี ส่วนคุณชุนก็ยิ้มกริ่มใส่ไม่หยุด

“ไม่เห็นพี่เก่งเหมือนตอนเด็กๆเลย”

“ตอนนี้ไม่ใช่...พี่ลูกน้องคุณชุนนะ จะให้พี่ไปอวดเก่งใส่ได้ยังไงล่ะ”

“พี่เอาแต่กินน้ำเต้าหู้โกเล้งด้วยล่ะ ไม่โตสักที”เขาว่า เราได้ยินก็หน้างอสิ น้ำเต้าหู้ถุงห้าบาทดีจะตายไป ดีกว่าไปซื้อนมวัวแดงกล่องสิบบาทอีก

“จะว่าพี่เตี้ยก็ว่ามา”

“พี่ตัวเล็กๆ น่ารักดีออก”จู่ๆคุณชุนแกก็โน้มหน้าลงมา เรานี่แทบเข่าอ่อน พยุงตัวในน้ำแทบไม่เป็น สภาพนี้ถ้าไอ้อี้มาเห็นต้องว่าเราเป็นคนหลกท่งแน่นอน เราได้แต่แตะมือกับอกคุณชุนเอาไว้ กลัวจะมีอะไรไปมากกว่านี้ เดี๋ยวมันจะกลายเป็นเล่าเรื่องประสบการณ์จากทางบ้านตามเว็บเกย์

“คุณชุน..ทำอะไรครับ เดี๋ยวใครมาเห็นจะมองไม่ดีเอานะ”

“ไม่เห็นใครสักคน”ว่าอย่างไม่ยี่หระราวกับเอานิสัยเมืองนอกมาใช้เต็มที่ “เห็นแต่พี่”
“อย่าแกล้งพี่เลยนะ..คือ...”


“ผมจริงจังอยู่นะ”

“...”

“พี่คิดว่าที่ผมทำให้พี่ทุกอย่างเป็นความใจดีเท่านั้นเหรอครับ? พี่ไม่รู้จริงๆเหรอว่าผมคิดอะไร?”

“...”...ก็ไม่รู้น่ะสิ เราย่นปากใส่คุณเขาที่สุดท้ายก็หัวเราะเบาๆแล้วปล่อยเราให้เป็นอิสระ คุณชุนลุกขึ้นจากสระโดยที่เรายังคงมึนงงไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง เราขึ้นสระตามรีบสวมชุดคลุมเดินตามคุณชุนต้อยๆอย่างไม่รู้ว่าไปทำอะไรให้เขาไม่ถูกใจหรือเปล่า

“คุณชุนโกรธพี่เหรอ?”

“โกรธที่เอาแต่เรียกคุณนี่แหล่ะครับ”

“มันติดปากพี่ไปแล้วนี่นา เหมือนคุณชุนชอบเรียกพี่ว่าพี่หมวยไง”

“ก็มันเหมาะกับพี่”แกหันมายิ้มให้ก่อนจะวางผ้าขนหนูลงบนหัวเรา ขยี้แรงๆไปมาราวกับอาบน้ำให้หมา “อย่ามองผมแบบนั้น ผมกลัวพี่จะไม่ปลอดภัย”

“พี่จะไม่ปลอดภัยยังไง พี่ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”

“ไม่ปลอดภัยจากผมนี่ล่ะ”แกว่าอย่างนั้น จนเรายืนนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะสาวเท้าช้าๆตามแกไปโดยดี ระหว่างรอทานมื้อเย็นเราก็อาศัยช่วงคุณชุนไปอาบน้ำไลน์ไปถามไอ้อี้ว่าที่เขาพูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร ก็โดนมันย้อนถามว่าสรุปชื่อกวางหรือชื่อควาย..ทำไมโง่นัก ไอ้อี้บอกว่าคนทำแบบนี้ให้ พูดจาแบบนี้ก็คนชอบกันอยู่แล้ว ถ้าบรรยากาศเป็นใจก็ให้ยอมๆไป จะได้แฮปปี้ดี๊ด้าทั้งสองคน...

แต่เราไม่รู้ว่าคุณชุนจะชอบเราจริงๆหรือ ในเมื่อเขาก็เคยคบผู้หญิงมาคนหนึ่ง หากคบไปแล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป วันใดทำตัวไม่ถูกใจ ทะเลาะเลิกรา ไม่ต้องออกจากงานเลยเหรอ...

ชอบคนๆหนึ่งมันไม่ง่ายเลย..จริงๆนะ



:D

แท็ก #คุณชุนพี่หมวย จ้า 

วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2558

[SF] หมวย (Sehun x Luhan) (1)









Title: หมวย (1)
Image: SEHUN x LUHAN
Author: RUNAWAY05
Note: ชั่ววูบมาก บางสถานที่มีจริง และบางสถานที่ไม่มีจริง



ตั้งแต่เราจำความได้ เราเป็นเด็กเชื้อสายจีนอาศัยอยู่ที่เยาวราช พ่อเราเป็นช่างซ่อมมอเตอร์ไซค์ ส่วนแม่เราก็รับเอาของส่งจากสำเพ็งมาแพ็คใส่ถุง เราเป็นลูกคนเดียว เป็นเด็กผู้ชาย ชื่อของเราคือ ลวินท์


ที่แม่เคยเล่าให้ฟัง ตอนแรกเราไม่ได้ชื่อลวินท์ เราชื่อหาญศักดิ์ เป็นชื่อที่พ่อตั้งให้แต่แรกตอนเขียนสูติบัตร แต่แม่เราไม่ชอบ แม่บอกว่าไม่เพราะ ตอนนั้นอาม่ายังไม่ได้เปลี่ยนแซ่ตระกูล บ้านเราแซ่ลู่ พอฟังตอนนั้นก็คงตลกน่าดู เราขำทุกครั้งที่เปิดสูติบัตรแล้วเจอคำว่า เด็กชาย หาญศักดิ์ แซ่ลู่ เราขอบคุณแม่มากที่ตอนนั้นตัดสินใจเปลี่ยนชื่อเราด้วยตอนที่ไปเปลี่ยนชื่อตระกูลกันที่อำเภอ ครอบครัวเราเปลี่ยนสกุลเป็น ลู่เจริญกิจ แต่ซินแสทักว่าชื่อเราไม่ควรมีร.เรือ จากที่จะชื่อรวินท์ แม่ก็เลยใช้ลวินท์แทน

เรามีชื่อเล่นนะ ชื่อกวาง (จริงๆอาม่าตั้งว่า กวง แปลว่าแสง รัศมี แต่ตอนแนะนำตัวตอนอนุบาล คุณครูเข้าใจว่าชื่อกวาง ก็เลยกวางกันมาตลอด) แต่ไม่มีใครเรียกชื่อเล่นเรากันหรอก เขาชอบเรียกเราว่าหมวย ทั้งที่เราถึงจะมีเชื้อจีนแต่หน้าเราก็ไม่หมวยนะ ถ้าไอ้บี๋ลูกโกเล้งที่ขายน้ำเต้าหู้ตรงหัวห้องแถวน่ะหมวยกว่าเราอีก แต่มันผู้ชายนี่เนอะ ต้องเรียกตี๋... เราก็ผู้ชายนะ ไม่เห็นมีใครเรียกตี๋ เรียกแต่หมวยมาตลอด ไม่เข้าใจเหมือนกัน

ถึงเราเป็นเด็กเชื้อจีน แต่บ้านเราก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร เราเรียนโรงเรียนวัด และเพราะเราตัวเล็ก ตอนแรกๆก็โดนแกล้งบ่อย แต่บอกเลย..แข้งเราไม่เล็กนะ เราเป็นนักบอลโรงเรียนด้วยล่ะ เราเรียนกลางๆ ไม่เก่งมาก เพื่อนที่สนิทกันก็มี ไอ้บี๋ กับ ไอ้อิน เป็นเด็กห้องแถวเหมือนกันนี่แหล่ะ ไอ้อินพ่อมันชื่อเฮียเส็ง ขายถ่านอยู่ท้ายห้อง หลังจากเลิกเรียนเรามาช่วยแม่ล้างจานกวาดบ้าน กรอกน้ำก็จะไปเตะบอลกับพวกไอ้อินไอ้บี๋ประจำ

สมัยนั้นเรามีความสุขดีนะ พกเงินกันแค่ห้าบาทก็เหมือนรวยเป็นเสี่ย ไอ้บี๋แม่มันใจดี ให้เงินมันมาซื้อขนมข้างนอกวันละสิบบาท ในกลุ่มเรางกสุด เพราะพ่อเราเป็นลูกจ้างเขา ไม่ได้เป็นเจ้านายใครเหมือนพ่อพวกมันสองคน ก็เนียนกินไปกับพวกมันแหล่ะ พอใครมาแกล้งมันก็เรียกเราไปจัดการ แน่นอนว่าแข้งเราอะ...ไม่มีใครกล้าแหยมหรอกนะ

จนวันนึง มีผู้ชายหน้าตาดีมาที่บ้านเรา เรากลับมาจากบ้านก็แปลกใจว่าทำไมฝรั่งถึงมาบ้านเรา คุณเขาตัวสูงมาก ผมสีทอง ตาสีฟ้า ส่วนผู้หญิงข้างเขาก็ตาโตผมยาว เราถามแม่ แม่บอกว่านี่คือเจ้าสัวสมคิด ชื่อเดิมชื่อคริสโตเฟอร์ มากับเมียแกชื่อคุณนายลดา เป็นหุ้นส่วนอู่ที่พ่อเราไปทำงานอยู่ ตอนนั้นแม่บอกว่าลูกชายเจ้าสัวแกจะย้ายมาเรียนโรงเรียนคริสเตียนใกล้ๆ จะฝากให้แม่ไปรับมาไว้ที่บ้าน แล้วคุณนายแกจะมารับตอนเย็นๆ เพราะเห็นว่าลูกชายอายุไล่ๆกับเรา และพักนี้เจ้าสัวกับคุณนายแกต้องไปคุมที่ก่อสร้างห้างอยู่แถวลำลูกกา เราไม่รู้หรอกว่าตรงไหน แต่คิดว่าคงจะไกลน่าดู

พอวันต่อมา แม่ก็มารับเราที่โรงเรียน แต่มีเด็กผู้ชายใส่เสื้อสีขาวกางเกงลายสก๊อตน้ำเงินฟ้าเกาะขาแม่มาด้วย เรา ไอ้บี๋ ไอ้อิน ก็เดินกลับไปกับแม่ที่ออกเงินซื้อลูกชิ้นปิ้งให้พวกเรากินเป็นครั้งแรกตั้งแต่เราจำความได้ พร้อมกับไอ้น้องตัวน้อยดูอ่อนปวกเปียกไม่เหมือนผู้ชาย แม่บอกว่าน้องชื่อชุน เรียนโรงเรียนคริสเตียนละแวกใกล้ๆ ซึ่งเรากับไอ้อินก็คิดว่าน้องชุนนี่ขาวเกินไป ไม่เหมือนเด็กผู้ชาย ส่วนไอ้บี๋นี่คิดว่าน้องเป็นตุ๊ด ...ซึ่งเราก็ว่าเหมือนอยู่นะ

หลังจากนั้นหน้าที่ของเราคือไปรับน้องชุนกลับบ้าน ไปกับไอ้อิน ไอ้บี๋เจ้าเดิม ได้ค่าจ้างกันคนละห้าบาท โดยคุณนายลดาแกฝากเงินไว้กับแม่เรา (บางทีเราก็ไม่ได้ตังนะ แม่บอกเอาไปซื้อกับข้าว) ปัญหาหลักๆเลยคือน้องชุนชอบโดนแกล้งบ่อยๆ ชอบโดนล้อว่า อีติ๋มเทอร์โบ เราก็ไม่รู้ว่าเป็นชื่อ หรือเป็นโรคอะไร เพราะไอ้พวกเด็กฝรั่งมันชอบล้อน้องแบบนั้น โอเคเราก็ว่าน้องดูติ๋มๆนะ น้องไม่ชอบพูด ตัวซีดๆแห้งๆ เหมือนขาดสารอาหาร แต่วันไหนที่เราจัดการพวกมาล้อน้อง น้องชอบเอาไปบอกคุณนายว่าเราช่วย คุณนายก็แกจะเตือนประมาณว่าอย่าใช้ความรุนแรง มีอะไรจำหน้าไว้แล้วมาบอกแก ส่วนเจ้าสัวถ้าวันไหนมาด้วย ถ้ารู้ว่าพวกเราไปต่อยปากเด็กช่วยน้อง แกให้คนละยี่สิบบาท ให้เป็นกำลังใจในการต่อยคน

ไม่นานนัก น้องชุน (หรือน้องติ๋มเทอร์โบ) ก็มาเป็นสมาชิกใหม่ของกลุ่ม น้องมันมีหน้าที่เก็บลูกบอลและซื้อไอติมแจกพวกเราด้วย และทุกๆเย็นหลังจากแยกกับไอ้อินที่ต้องแวะเข้าตลาดสดไปหาแม่มันก่อน และไอ้บี๋ที่กลับเข้าบ้าน เรากับไอ้น้องติ๋มก็จะเดินคุยกันไปเป็นประจำ

“พี่หมวยๆ ไอ้นั่นเรียกอะไรอะ”

“หน้ากากแป๊ะยิ้มไง เหมือนแกอะ เวลาแกยิ้ม”

“มันดีมั้ยอะ”

“แกยิ้มแกมีความสุขป้ะล่ะ ถ้ามีความสุขก็ดี”

“อยู่กะพี่หมวยแล้วมีความสุขนะ”

“หน้าแกเลยเหมือนแป๊ะยิ้มไง”พวกเราหัวเราะให้กิน พวกเราอยู่ด้วยกัน เราไม่เคยปฏิเสธเลยนะว่ามันดี เรามีความสุขมากจริงๆ เหมือนมีน้องชายเพิ่มมาคนนึง แต่แล้ว...เพราะเรามัวแต่อยู่กับน้อง เราไม่ค่อยไปเล่นกับพวกไอ้บี๋ ไอ้อิน พวกที่คอยแกล้งเราก็ล้อว่าเราเป็นผัวตุ๊ด เรารู้สึกแย่ โดนล้อทุกวัน แม้แต่เพื่อนที่สนิทก็ยังเข้าใจว่าเป็นอย่างนั้น ตอนนั้นเราเลือกที่จะไม่เจอน้องอีก ให้แม่ไปรับน้องแทน จนวันสุดท้ายที่น้องมาขอเจอเรา เราก็ขังตัวเองอยู่ในห้องน้ำจนน้องกลับไป


และเราเพิ่งมารู้ว่าเราตัดสินใจผิด... น้องแค่มาลาเราเพราะจะย้ายไปเรียนที่อื่น เลยกลายเป็นเรื่องที่พูดถึงทีไรก็ยังเสียใจมาทุกวันนี้..





เวลาผ่านไปพร้อมกับความทรงจำที่ตกหล่นไปตามเวลา เราเรียนจบป.ตรีจากมหาลัยแถวลาดกระบัง ดั้นด้นเรียนสถาปัตย์จนจบ พ่อเราตอนนี้อยู่บ้านหลังใหม่ เปิดร้านขายอะไหล่มอเตอร์ไซค์ แต่ยังอยู่แถวเยาวราชแหล่ะ พ่อเราบอกว่ามาอยู่นี่ก็ตายอยู่นี่ คงหนีไปไหนไม่พ้น คงมีแต่เราแหล่ะที่เกือบมาตายอยู่ลาดกระบัง ทั้งเหงา ทั้งคิดถึงบ้าน เหล้าเหลิ้วก็กินกับเขาไม่เป็น ยิ่งตอนรับน้องเรายิ่งคิดถึงแม่ อยากกลับบ้าน ไอ้บี๋มันเรียนหมออยู่จุฬา ส่วนไอ้อินเห็นมันขี้เกียจๆอย่างนั้นก็เรียนนิติอยู่ธรรมศาสตร์ จะเจอหน้ากันทีก็ตามเทศกาล ตรุษจีน เชงเม้ง อะไรก็ว่ากันไป

สมัยเราอยู่หอ ก็ยังมีคนเรียกเราว่าหมวยอยู่นะ ทั้งกวาง ทั้งหมวย น้องกวาง น้องหมวย จนเฮียกวาง เฮียหมวย เมทเราชื่อไอ้อี้ บ้านมันอยู่สำเพ็งแต่เราไม่ยักรู้ เราอยู่นี่ก็เรียนไป เล่นไป อยู่กับเพื่อนๆ เตะบอลกับไอ้อี้ แก้งาน กัดฟันจนจบออกมาได้ เรื่องความรักก็แทบไม่ได้นึกถึง หลังจากเห็นไอ้อี้ร้องไห้ฟูมฟายผู้หญิงทิ้งไปเอาเด็กแว้นเรียนช่างยนต์ เราก็คิดว่าความรักไม่จำเป็น รักไปก็เจ็บ ก็เลยไม่ได้สนใจอะไรอีก

เรากลับมาตกงานอยู่บ้านเกือบครึ่งปี เราเข้ากับที่ทำงานไม่ได้ เราเป็นพวกเก็บอาการไม่เก่ง และเราก็ไม่ค่อยจะทนกับพวกนินทาเท่าไหร่ เรากลายเป็นพวกไม่มีงานทำในขณะที่ไอ้บี๋มันกำลังจะเป็นหมอ ไอ้อินก็กำลังจะต่อโท ตอนนั้นเรารู้สึกแย่ไปหมด เราเครียดจนนอนไม่หลับ แต่ยังดีที่พ่อแม่ยังให้กำลังใจ แถมไอ้อี้ที่ติดต่อมามันขายกาแฟอยู่เชียงใหม่ เราเลยคิดว่าไม่ใช่แค่เราที่จบมาแล้วไม่ได้งานแบบที่เรียน เรานั่งๆนอนๆช่วยพ่อกับแม่ขายของได้พักหนึ่ง พ่อถึงได้บอกว่าจะฝากงานให้ อยู่แถวอโศก เราคิดว่าไหนๆก็ไหนๆ เลยส่งเอกสารไปดู แล้วเขาก็โทรมาหาพ่อเรา นัดเราไปทำงาน

มันก็ตลกดีนะ เราจบสถาปัตย์มาทำงานบัญชีอยู่บริษัทแห่งหนึ่งแถวอโศก เราออกจากบ้านหกโมงครึ่ง นั่งรถไฟใต้ดินที่หัวลำโพง เช้าๆก็กินน้ำเต้าหู้ของโกเล้งที่ขายจนส่งลูกชายเรียนหมอจวนจะจบ บริษัทที่เราไปทำไม่มีเครื่องแบบประจำ แค่ใส่กางเกงสีดำกับเชิ้ตสีสุภาพ เข้างานช้าสุดแปดโมงครึ่ง เลิกห้าโมงเย็น เงินเดือนสตาร์ทหมื่นสี่ หยุดทุกวันอาทิตย์ โอทีแล้วแต่เจ้านายจะบอก ตามจริงที่นี่มีบัญชีอยู่แล้วคนหนึ่ง ชื่อเจ๊จุ๋ม แต่เขาให้เราไปช่วยเจ๊จุ๋มทำบัญชีทั่วไป เพราะเจ๊จุ๋มต้องคอยทำบัญชีเกี่ยวกับสินค้าส่วนใหญ่ เหมือนที่นี่เป็นบริษัทรับสินค้าจากต่างประเทศมาขายทางอินเตอร์เน็ต เราทำงานไปได้สองเดือน ก็มีเรื่องให้เราประหลาดใจ ในวันนึงที่เรากำลังเอาเอกสารที่เจ๊จุ๋มใช้ไปถ่ายเดินออกจากห้องบัญชี ก็มีเสียงทักเรียกเรา

“พี่หมวย! พี่หมวยรึเปล่า?!

ตอนนั้นเราตกใจมาก เพราะตั้งแต่มาทำงานที่นี่เราไม่ได้บอกใครนะว่ามีชื่ออีกชื่อว่าหมวย เรามองผู้ชายคนนึงตัวสูงๆ ผมสีทองสวมเสื้อกางเกงสีดำกำลังส่งยิ้มมาให้ เราก็ยิ่งงงหนัก จนรอยยิ้มนั้นทำให้เรานึกใครสักคนหนึ่ง

“ติ๋ม?”

“ติ๋มไรอะพี่ ฉายานั่นแม่ง ฮ่าๆ มาทำงานนี่เหรอ มานานรึยัง”

“ก็สองเดือนแล้ว”

“ผมไม่รู้ก็เลยไม่ได้มาแถวนี้ เดี๋ยวผมมาหาบ่อยๆนะ”เขาบอกเราแบบนั้น และเราเพิ่งมารู้จากเจ๊จุ๋มทีหลังว่า น้องชุน (หรือไอ้น้องติ๋มเทอร์โบตอนเด็กๆ) ชื่อจริงคือ สุหฤทธิ์ โอสถานนท์ เป็นลูกเจ้าสัวสมคิด ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทที่นี่ ตอนนั้นเราถูกถามวุ่นวายไปหมดว่าไปรู้จักกับลูกชายเจ้าของได้ยังไง เราก็ขี้เกียจจะพูดเลยบอกแค่ว่าเคยรู้จัก ถึงแม้ตอนเด็กๆจะอยู่กันบ่อย เห็นน้องมันนั่งตด แคะขี้มูก เกาตีนไปมา ก็ไม่นึกว่าน้องมันจะโตมาหน้าตาดีขนาดนี้

หลังจากเลิกงาน คุณชุนก็มาชวนเราไปกินข้าว (เราต้องเรียกเขาว่าคุณล่ะ เพราะว่าเป็นเจ้านายเราแล้ว จะเรียกไอ้น้องติ๋มเทอร์โบเหมือนเด็กๆก็คงไม่ได้) พวกเรากินข้าวกันในร้านไม่ไกลออฟฟิศนัก พวกเราสั่งก๋วยเตี๋ยวเป็ดมาคนละชามกับโอเลี้ยงคนละแก้ว นั่งคุยกันท่ามกลางผู้คนที่ข้ามาฝากท้องในร้านอย่างหนาตาประจำ

“พี่ไปอยู่ไหนมา ไม่เห็นตั้งนานเลย จะยี่สิบปีแล้วมั้ง”

“ก็..เรียนอยู่ลาดกระบัง จบมาเกาะพ่อแม่อยู่บ้าน แล้วก็มาทำนี่ ...แล้วไปเรียนไหนมา”

“เรียนอยู่เยอรมันอะครับ จบกลับมาจะห้าเดือนแล้ว”

“แล้วจะไปเห็นพี่ได้ไง” ...กวนตีนนะเรา... เราเว้นประโยคท้ายไว้

“แล้วพี่บี๋กับพี่อินล่ะครับ”

“บี๋มันเรียนหมออยู่จุฬา ส่วนอินมันต่อโท ไม่เจอนานแล้วเหมือนกัน”

“โคตรคิดถึงพี่เลยว่ะ จริงๆนะ”คุณชุนส่งยิ้มมาให้ เราก็แค่ยิ้มรับไปเล็กน้อย วันนั้นคุณชุนมาส่งเราที่สถานี โดยที่ความรู้สึกเรายังคงลอยล่อง เราไม่รู้ว่าทำไม อาจเป็นเพราะเราดีใจที่ได้เจอกับคนที่เคยอยู่ในความทรงจำก็ได้ เราไม่เคยลืมเลยว่าครั้งสุดท้ายเราทำอะไร แต่ดูท่าแล้ว คุณชุนเหมือนจะจำไม่ได้เท่าไหร่นัก

แม้จะค่อนข้างสนิทสนมกันในระดับหนึ่ง เพราะผ่านการรู้จักตอนเด็กๆมาแล้ว แต่ในเวลางาน คุณชุนจริงจังมาก เจ๊จุ๋มบอกว่าคุณชุนทำงานเก่งเหมือนเจ้าสัว แต่ก็ละเอียดอ่อนเหมือนคุณนายลดา ถึงจะเสียหน้านิดนึงที่คนแก่กว่าอย่างเรา ต้องมาทำงานแลกเงินกับเด็กที่เคยดูแล เคยปกป้องตอนเด็กๆ แต่มันเป็นชีวิตที่เราเลือกไม่ได้ พ่อบอกว่าการไม่เลือกเจ้านายก็เป็นความขยันขันแข็งชนิดหนึ่ง โชคดีเราอยู่กับเจ๊จุ๋มที่ดุมากกับคนอื่นๆ เลยไม่ค่อยมีใครนินทาเราให้เราได้ยิน หรือประจบประแจงอะไรให้รำคาญ มันก็มีบ้างแหล่ะตามประสาการทำงาน แต่ไม่นานพวกนี้ก็ค่อยๆหายไป คุณชุนเส้นสายเยอะ ถ้าใครพูดจาไม่ดีแกเอาออกหมด แกถือว่าพูดจาไม่ดีคือคนคิดไม่ดี

เราเองหลังจากเลิกงานคุณชุนก็ชวนไปกินข้าวทุกวัน กลายเป็นว่าเราต้องกินข้าววันละสี่มื้อ คุณชุนเองก็คงรู้ว่าเราไม่อยากกินข้าวสี่มื้อ หลังๆเลยเปลี่ยนไปกินขนมหวาน จากที่หากิน(?)กันแถวๆอโศก คุณชุนก็เริ่มชวนเราไปแถวสยาม ประกอบกับแม่ไม่อยากให้เดินทางไปๆมาๆเท่าไหร่ เราเลยได้ห้องเช่าอยู่แถวที่ทำงาน วันเสาร์ตอนเย็นกลับบ้าน มาทำงานวันจันทร์ เราก็ว่าสะดวกดี ฐานเงินเดือนเราขยับขึ้น พอรับผิดชอบค่าห้องได้ ตอนแรกคุณชุนชวนเราไปอยู่คอนโดกับแก แต่เราก็เกรงใจเจ้านายนะเลยปฏิเสธไป

เงินเดือนพอหักค่าห้องก็เหลือประมาณหมื่นนึง เราส่งให้ที่บ้านห้าพัน เก็บไว้กินเองห้าพัน แล้วก็รับจ๊อบเล็กๆน้อยๆที่พวกรุ่นน้องจ้างมา แม้จะไม่ค่อยได้กินน้ำเต้าหู้โกเล้งเหมือนเดิม แต่ก็จะมีน้ำเต้าหู้เซเว่นที่คุณชุนมาแขวนไว้ให้ทุกวันจนโดนแซวไปทั้งตึกว่ารถบรรทุกส้มจะคว่ำใส่ แต่เราคิดว่าเพราะรู้จักกันตอนเด็กมากกว่า คุณชุนเป็นคนหน้าตาดี สาวๆเทียวมาหาไม่ได้ขาด ลูกหลานใครมาดูงานก็คอยออเซาะแกบ่อยๆ พนักงานสาวๆเห็นคุณชุนที่ไรก็มานั่งกรี๊ดกร๊าด พนักงานเข้าใหม่เป็นลมเพราะเจอคุณชุนใกล้ๆก็มีมาแล้ว นั่นแหล่ะเราถึงเกรงใจที่จะไปอาศัยแกอยู่ สาวมาหาไม่ขาดขนาดนี้

“พี่หมวย เลิกงานแล้วไปกินหนมกัน”คุณชุนทักเราตั้งแต่ยังไม่ถึงเวลาตอกบัตร เราก็โอเคนะ เราไม่ได้จ่าย คุณชุนชอบเลี้ยงเราตลอด แต่บางอย่างที่ดูแพงเกินไปจริงๆเราจะช่วยออก เราไม่อยากดูเหมือนเกาะคุณชุนกินเท่าไหร่ คุณชุนแกมีรถนะ รถแพงด้วย แต่แกไม่ค่อยขับ เวลาไปกินขนมกินข้าวหลังเลิกงาน แกชอบขึ้นรถไฟฟ้าไปกับเรา หรือไม่ก็นั่งใต้ดิน บางทีก็ไม่ได้นั่งเท่าไหร่ แกชอบลุกให้ผู้หญิงนั่ง ยืนโหนราวต่อหน้าเรา ไอ้เราก็หน้าเกือบชนเข็มขัดคุณชุนแกซะเรื่อย

เพราะตอนเด็กๆเราอยู่แต่เยาวราช พอโตก็ไปอยู่ลาดกระบัง เราเลยไม่ค่อยชินฝั่งสยามเท่าไหร่ คุณชุนแกดูเชี่ยวชาญ เรายังดูไม่ออกด้วยซ้ำว่าตรงไหนคือสยาม เพราะมันหลายสยามเหลือเกิน แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ไม่รู้เหมือนกันทำไมคุณชุนต้องคอยจูงมือเราตลอด เราก็ไม่ได้เป็นเด็กหลงขนาดนั้น มากเข้าก็ชอบโอบไหล่เราไปด้วยกัน ถามว่าคิดไหมตอบว่าไม่คิดก็คงบ้า เราไม่ใช่อิฐใช่ปูน สมัยนี้มันต่างกับสมัยเราเป็นเด็กมาก ผู้ชายเดินด้วยกัน ผู้หญิงเดินด้วยกันก็ใช่ว่าจะเป็นเพื่อนกัน แต่ติดอยู่อย่างเราไม่รู้ว่าจริงๆแล้วคุณชุนแกดีกับทุกคนหรือเปล่า หรือแค่เรา อีกทั้งเราเชื้อจีน ลูกชายคนเดียว แต่คุณชุนแกเป็นลูกคนโต มีน้องชื่อคุณแจ็ควัยยังแบเบาะ บางครั้งเราอยากตั้งกระทู้พันทิปถามนะ แต่กลัวคนมาเม้นว่านิยายเชิญห้องข้างๆ ก็เลยได้แต่เก็บไว้อย่างนั้น

“ไม่อร่อยเหรอครับ”คุณชุนถาม เรานั่งอยู่ซอบิงโก ที่นั่งติดกระจกมองออกไปด้านนอกหลังจากต่อแถวยาวเหยียด ลูกค้าร้านนี้มีแต่สาวๆมามองเจ้าของร้าน แต่พอคุณชุนเข้ามาก็เริ่มมองคุณชุนเหมือนกัน

“อร่อยนะ แต่คนมองเยอะ”

“พี่หมวยเสน่ห์แรงไง”

“เขามองคุณชุนหรอก”

“บอกกี่ครั้งแล้วครับว่าเรียกคุณ ทำไมชอบเรียกเหินเรียกห่าง”คุณชุนยกมือเท้าคาง “พรุ่งนี้ไปเดินเล่นหัวลำโพงไหมครับ”

“ไม่มีอะไรน่าเล่นเลยนะ”

“จตุจักรมั้ย หรือไปวัดที่ไหนก็ได้ ไปให้อาหารปลา”

เราปล่อยให้คุณชุนแกวางแผนท่องเที่ยงกรุงเทพมหานครของแกไปอย่างนั้น เรามันลูกจ้างจะไปขัดอะไรได้ หลังจากเดินซื้อของอยู่พักหนึ่ง คุณชุนก็ชวนนั่งรถเมล์กลับ เรายังนั่งจับมือกันแม้กระทั่งขึ้นรถเมล์ คุณชุนยังทำตัวเหมือนตอนเด็กๆเสมอที่ชอบเกาะเราไปไหนมาไหน


แต่คุณชุนอาจจะแค่ไม่รู้ว่าพี่หมวยอย่างเราไม่ได้คิดเหมือนเดิม...

:D

แท็ก #คุณชุนพี่หมวย