วันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2558

หมวย (Sehun x Luhan) (20)









Title: หมวย (20)
Image: SEHUN x LUHAN
Author: RUNAWAY05
  Note: ได้เวลากลับบ้านแล้ว...






หลังจากส่งไอ้บี๋และพี่หมอชรัณนั่งรถกลับขนส่งเพื่อต่อเครื่องบินกลับกรุงเทพฯ เรากับคุณชุนผู้ยังไม่เข็ดกับอะไรทั้งสิ้นก็ไปทานเมนูที่ตกลงกันตั้งแต่เมื่อคืนกลับไปที่แก่งคุดคู้อีกครั้งหลังจากที่ไปวันที่สองแล้วไม่ประทับใจนัก แต่ในครั้งนี้เราคงต้องขอกลับคำพูดแล้วล่ะ เพราะวันนี้คนไม่ค่อยเยอะ ทำให้เราเห็นทัศนียภาพต่างๆได้เต็มที่ อากาศกำลังดีบวกกับสายลมเย็นโชยมาเบาๆทำให้เสื้อตัวนอกสีดำของเราไม่สูญเปล่า คุณชุนจับมือเราเอาไว้แน่น จูงไปนั่นมานี่เหมือนกลัวหลง แล้วก็ช่วยกันถ่ายรูปเหมือนเดิม

“ตอนแรกมาไม่สวยแบบนี้เลยนะครับ”เราว่า “แต่วันนี้สวยมากจริงๆ ตอนแรกพี่จะบอกว่าไม่มาแล้วด้วยซ้ำ มาเพราะของฝากแท้ๆ”

“ดีแล้วล่ะครับที่มา...เราให้โอกาสสถานที่ และเราก็ได้บรรยากาศแบบนี้”คุณชุนพูดขึ้นและเราก็เห็นด้วย เอาเถิด..แกพูดอะไรเราก็เห็นดีด้วยหมด แม้จะไม่ใช่ช่วงโปรโมชั่นก็ตาม

“คงเพราะคนไม่มากด้วยล่ะครับ”

 “พี่หมวยยิ้ม”คุณชุนว่าพลางหันกล้องใส่เรา ทำอาเราต้องปัดมือเป็นพัลวัน

“ไม่เอาครับ...พี่ยิ้มแล้วดูไม่ค่อยดี”..ยังนึกถึงตราบาปสมัยม.ห้าได้อยู่เลย เผลอยิ้มเต็มที่ให้กล้อง ออกมาหน้ายับเป็นคนแก่ เราเลยโดนล้อว่าปู่ไปปีนึงเต็มๆ (จนเรียนจบนั่นล่ะ)

“ไม่เป็นไรหรอกครับ...พี่มีความสุขพี่ก็ยิ้ม...ผมยิ้มก็ดูดีที่ไหน”คุณชุนทำหน้าแป๊ะยิ้มใส่เราจนเราหลุดขำ...ก่อนจะรู้ตัวว่าเสียรู้แกเพราะโดนกดชัตเตอร์ไปจนได้ พวกเราถ่ายรูปด้วยกันแบ่งมือถือคนนั้นคนนี้พัลวัน มันอาจจะดูแปลกๆถ้าผู้ชายสองคนมาทำท่าหนุงหนิงกันอยู่ริมแม่น้ำ (แต่เรามารู้ทีหลังว่าป้าเจ้าของที่พักเข้าใจว่าเราเป็นผู้หญิงผมสั้น...เราเลยค่อนข้างเสียความมั่นใจไประดับหนึ่ง) เมื่อพักผ่อนพอสมควรก็แวะซื้อไข่หมุน ซึ่งเป็นไข่ตอกใส่เครื่องทรงกระบอกใส่ใส่เสียบไม้ อันละสิบบาท แบบนี้ไปขายในกรุงเทพอันละยี่สิบ บางที่ยี่สิบห้าด้วยซ้ำ มันน่าตลกตรงที่เราซื้อกินทั้งที่ห้องก็มีเครื่องให้ทำ ก็บริษัทคุณชุนยังรับเครื่องนี่มาขายอยู่เลย

เมื่อทัวร์ชิมเริ่มขึ้น นอกจากส้มตำพวกเราก็ได้ลองชิมกุ้งเต้น (ที่แม้จะบาป..แต่ก็อร่อยเหลือเกิน) กับกุ้งทอด และออกเดินหาของฝาก แน่นอนว่ามะพร้าวแก้วที่ไอ้บี๋มันแนะนำมานั้นพวกเราไม่พลาด ทั้งข้าวปุ้นแห้งที่เราว่าจะเอากลับไปฝากพ่อกับแม่  แต่สิ่งที่ทำเอาคุณชุนแกขมวดคิ้วฉับคือ ข้าวลืมผัว มันคือข้าวก่ำ หรือข้าวเหนียวดำ ที่เขาว่ากินแล้วอร่อยจนลืมผัว แกบอกว่าไม่ต้องซื้อ ถ้าซื้อห้ามกิน กลัวเราจะลืมแก ได้แต่หวดแขนแกบอกจะบ้าเหรอ นี่ก็กินกับข้าวเหนียวหมูตั้งนานสมัยทำงานที่ออฟฟิศ มาตื่นเต้นอะไรตอนนี้ สรุปก็ได้มาแหล่ะ คุณชุนแกซื้อกลับเพราะเจ้าสัวแกโทรคุยตอนเลือกของพอดี แกบอกเอามา จะหุงให้คุณนายลดากิน เพื่อที่จะได้ลืมแกไปสักพักจะได้ออกไปตีไก่ได้ ที่เหลือที่จะซื้อคือพวกเสื้อพวกป้าย เพราะแบกกันสองคนเกรงว่าจะไม่ไหว เราเองก็เผลอเสียค่าของฝากไปเยอะ พอมาเที่ยวไม่รู้เพื่อฝูงจากไหนมาให้มากมายไปหมด จนเลยต้องก้มหน้ารับชะตากรรมที่ต้องนั่งเครื่องกลับกรุงเทพ เพราะคุณชุนแกยังยืนยันคำเดิมว่าแกแบกไม่ไหว เดี๋ยวนัดคุณเชนทร์มารับ คุณเชนทร์เลี้ยงง่ายอยู่แล้ว เบียร์ฮอลแลนด์สักคืนก็พอ

เราทั้งสองกลับมานั่งแพคข้าวของใส่กระเป๋าเดินทางเตรียมตัว และแล้วก็มีกระเป๋าใบใหม่งอกออกมา.. แต่จะเรียกกระเป๋าก็ไม่ใช่ เรียกมันว่ากระสอบก็ไม่เชิง เรียกถุงก็ไม่ผิดนัก เพราะมันวิวัฒนาการมาจากถุงสายรุ้งในตำนาน เพียงแต่ตอนนี้มันได้กลายร่างเป็นลายคิตตี้ เอาไว้สำหรับใส่ของฝากโดยฉพาะ พอเตรียมของเรียบร้อยก็ออกไปพร้อมจักรยานคนละคัน ปั่นจักรยานเล่นไป จนถึงอุโมงค์ต้นไม้ข้างโรงเรียน พวกเราถ่ายรูปกันสักพักก็ปั่นมาที่ทางริมโขง จูงจักรยานเดินเล่นกัน ซึ่งเราเองก็เช็คของมีค่าเป็นระยะ เที่ยวให้สนุกต้องมีเงิน ถ้าเงินหายเราจะดิ่งมาก รู้สึกกระสับกระส่ายไม่อยากเที่ยว เลยต้องอุ่นใจไว้ก่อน

พวกเราสองคนเท้าราวเหล็กอีกครั้ง แต่ไมใช่ราวเหล็กสวนหลังคฤหาสน์เจ้าสัวสมคิดมองเจ้าพระยา แต่เป็นราวเหล็กที่ข้ามสายแม่น้ำขนาดใหญ่ไปก็คือฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน สายลมเย็นสบายทำให้เราดื่มด่ำบรรยากาศสักพัก ก่อนจะคลี่ยิ้มเมื่อรู้สึกถึงฝ่ามือคุณชุนที่กุมมือเราไว้

“ก่อนหน้านี้...เรามองเจ้าพระยาอยู่เลย...ดีจังเลยนะครับ”

“นั่นสิครับ ตอนนั้นกำลังคิดกันว่าจะมาที่นี่หรือไปภูกระดึงกันดี”

“แต่เดี๋ยวคราวหน้าค่อยมาใหม่ก็ได้ครับ”คุณชุนหันมามองเราที่ส่งยิ้มเลิกคิ้วกลับไปให้แก คุณชุนไม่ได้พูดอะไรนอกจากสอดนิ้วเข้าร่องนิ้วมือของเรา มือซ้ายของเรากับมือขวาของคุณชุนเกาะกุมกันเป็นมือเดียว เพียงเท่านั้นอากาศหนาวเย็นก็อบอุ่นขึ้นมา...โดยเฉพาะในใจ...

เนื่องจากเป็นวันสุดท้าย เราจึงไม่ได้กินมื้อหนักนอกจากตระเวนกินเล็กๆน้อยๆ เสียมากกว่า แต่ที่ตรึงใจเหลือเกินคงเป็นข้าวจี่ที่หายากเหลือเกินในกรุงเทพฯ โค้กวุ้นขวดละยี่สิบบาทที่พ่อคุณทูนหัวยังซื้อมาดื่มทั้งที่อากาศหนาวยิ่งกว่าคืนวาน ของฝากที่พวกเราล็อคเป้าหมายเรียบร้อยก็ถูกจับจ่ายตามบิลที่อดีตนักบัญชีออฟฟิศอย่างเราคำนวณไว้เป๊ะๆ จนได้เวลาจึงกลับมาที่ห้องพักช่วยกันบรรจุของฝากทั้งหลายใส่ถุงคิตตี้ แล้ววางไว้กับกระเป๋าเดินทางที่มีชุดของวันพรุ่งนี้พาดเอาไว้ กระเป๋ายังไม่ปิดสนิทเพราะของใช้ส่วนตัวยังใส่ไม่หมด โชคดีที่ว่าเรากับคุณชุนนิสัยเดียวกันคือชอบเก็บของก่อนกลับไว้คืนหนึ่ง จะไม่เสียเวลาตื่นแต่เช้าเก็บของ จะได้นอนจนจวนถึงเวลาเช็คเอาท์ก็อาบน้ำแต่งตัวเอาของยัดใส่กระเป๋าออกไปได้เลย

แม้ว่าตอนเดินที่ถนนอากาศหนาว แต่พอเข้ามาข้างในอากาศก็อบอุ่นกว่าเดิมมากนัก จนคุณชุนแกเริ่มเลื่อนระดับด้วยการไม่ใส่เสื้อ นุ่งผ้าขาวม้าโทงๆเดินรอบห้อง แกว่าอากาศแบบนี้แกชินตั้งแต่อยู่เยอรมัน ปล่อยให้เราที่ใส่เสื้อย้วยๆที่แถมมากับน้ำมันเครื่องกับกางเกงขาสั้นนั่งทาครีมกับขา ไม่ได้สำอางอะไรหรอกคุณ แต่ขาแตกสำหรับเรามันคันยุบคันยิบทรมาน ขั้นแสบเลยล่ะ ที่พูดได้เพราะตั้งแต่คืนแรกที่นั่งรถไฟมา คันแขนคันขาเหลือเกิน แรกๆก็คิดว่าสงสัยเราซกมกน้ำไม่อาบก่อนนอน แต่ไม่ใช่ เห็นผิวแตกระแหงก็เริ่มเข้าใจกายหยาบตนเองมาระดับหนึ่ง

“กลับกรุงเทพไม่ใส่แบบนี้นะครับ ไข่ต้มข่วนหลังลายพอดี”เราว่าโดยที่แกซึ่งนอนคว่ำกับที่นอนก็เอียงหน้ามาหาเรา

“ไข่ต้มหรือแม่ไข่ต้มครับ”

“เอ้อ...”มาดักแบบนี้ก็แย่สิ เราเหล่ตาไปข้างๆก่อนจะคว่ำปากใส่แก เมื่อทาแขนขาแก้แตกลายงาเรียบร้อยก็ได้เวลานอน เราปิดไฟก่อนจะกลับมาที่ห้องซึ่งมีแสงสลัวๆ เรานอนมองผ้าม่านเพราะเห็นว่าคุณชุนแกนั่งมองเราอยู่พักก่อนที่แกจะลุกขึ้นนั่ง

“พี่หมวย”

“ครับ?”ขานรับทั้งที่มันก็ไม่ใช่ชื่อที่พ่อแม่ตั้ง บางทีก็ลืมไปแล้วว่าตัวเองชื่อเล่นว่ากวาง “คุณชุนหนาวเหรอ บอกแล้วว่าใส่เสื้อๆ”

“คุยกันก่อน”

“ครับ..”เห็นแกไม่เล่นด้วยเราเลยลุกขึ้นนั่งแต่โดยดี “มีอะไรเหรอครับ?”

“ขอมือหน่อยครับ”แกแบมือเหมือนขอมือหมา เราก็ทำจมูกบานใส่แกอยู่สักพักก่อนจะยื่นมือให้แกไปกุมไว้โดยดี “ผมแค่จะบอกว่าผมมาที่นี่ ผมมีความสุขมาก และผมคงไม่มีความสุขมากขนาดนี้ถ้าไม่มีพี่”

“พี่ก็เหมือนกันครับ”เราส่งยิ้มไปให้แกแม้ไม่รู้ว่าแกจะเห็นหรือไม่ เรารู้สึกว่าแกดึงมือทั้งสองข้างของเราไปหอมเบาๆ

“ไว้เรามาอีกนะครับ”

“ครับ..ไว้เรามากันอีกนะ”เราตอบรับไปอีกครั้ง พร้อมกับคำพูดของแกที่ดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

“ผมรักพี่นะครับ”

“...”

“ไม่ว่าต่อจากนี้จะเป็นยังไง...อยากให้พี่จำไว้อยู่อย่าง...ว่าพี่เป็นคนเดียวที่ผมจะรัก...เชื่อชุนนะ” ประโยคนั้นเหมือนก้อนน้ำตาลหวานละลายลงเข้ากับหัวใจ คุณชุนกระซิบเบาๆว่าอย่าเกร็ง ทันทีที่แกแตะริมฝีปากเข้ากับข้างแก้มเรา และเป็นตัวเราที่ยอมเปิดริมฝีปากให้แกทำไปตามแต่ใจ เราให้คุณชุนไปหมดทุกสิ่งที่เรามี ทั้งอนาคต หรือแม้แต่เพศสภาพ เราบอกแล้วว่าเราไม่ได้ชอบผู้ชาย แต่คนที่เรารักเขาเป็นผู้ชายเพียงเท่านั้น

ไม่รู้คุณชุนมองเราแบบไหนตอนแกวางเราลงบนที่นอน เพราะเราก็ทำตัวไม่ถูกเมื่อแกถอดกางเกงขาสั้นของเราออก เสื้อยืดตัวย้วยๆนั่นถลกเลิกขึ้นมาถึงเนินอก เราสั่นไปทั้งตัว ไม่รู้ว่าเพราะหนาวหรือร้อน คุณชุนสอดมือช้อนหลังเราขึ้นทั้งที่ยังเล่นกับจุกเราอยู่ เนื้อผ้าขาวม้ายังคงเสียดสีกับขาของเราที่เคลือบด้วยโลชั่นขวดละไม่ถึงสองร้อยบาท วันนี้ไอ้เขื่องตัวร้อนมาก สงสัยจะมีไข้ ท่าจะไข้หวัดอากาศหนาวเพราะตัวแข็งปั่ก สักพักเสื้อยืดที่เราเพิ่งใส่ก็ถูกถอดออก ได้แต่นอนปล่อยให้เขาชำเราตัว ไอ้เราเต็มใจมั้ยก็เต็มใจ แต่จะให้ไปอะฮ้าใส่มันก็จะดูไม่งาม มันเหมือนพวกเมียน้อยในละคร เลยอยู่นิ่งๆให้แกทำนั่นทำนี่ไปตามเรื่องแกนั่นล่ะ

“คุณชุน...เบาๆ”เราขอเสียงแผ่ว เพราะไม่ไหวเหมือนกัน ราวกับร่างกายมันละลายหลอมจนเหลือเพียงหยดเหงื่อ แต่เราก็ได้ยินเสียงคุณชุนกระซิบกลับมาไม่นาน

“ผมเอามา..ไม่เป็นไรครับ..มันยังไม่หมด”

แม้อากาศจะค่อนข้างเย็น แต่สิ่งที่พวกเรากำลังทำนั้นไล่ความเย็นออกไปจวนหมด เราได้กลิ่นเหงื่อจากคุณชุน เสียงฝีเท้าเดินนอกห้องที่น่าตื่นเต้น เราเผลอขบริมฝีปากเพราะไม่กล้าส่งเสียงดังเนื่องจากเป็นผนังไม้ และเสียงครางต่ำในลำคอของคุณชุนยังลั่นให้ได้ยิน ความรู้สึกทั้งลื่น ร้อน และเปียกชื้นนั่นมันช่างพูดไม่ถูก จะให้ว่ามีความสุขมั้ยก็ใช่ แต่ว่าทรมานหรือไม่ก็เช่นเดิม เราไม่เคยชินกับสิ่งที่เกิด แต่ไม่เคยไม่พอใจกับสิ่งที่มันเริ่มขึ้นแล้วเริ่มขึ้นอีกในทุกๆครั้ง ไม่รู้เมื่อไหร่ที่เราเอาแต่ขยุ้มผมตัวเอง มันเนิบช้าแต่ก็ค่อนข้างหนัก เราเผลอข่วนแขนคุณชุนไปหลายแผลเพราะควบคุมไม่ได้ ยิ่งถูกลูบกระตุ้นหลายๆครั้งมันก็เหมือนไม่ได้สติ หนักเข้าเราต้องยกมือปิดปากตัวเองไม่ให้ส่งเสียงออกมาให้อายห้องอื่น ทว่าคุณชุนก็สอดนิ้วกดมือเรากับที่นอน ให้เราพะงาบปากลิปซิงค์เอาเอง

แม้จะรู้สึกอาย แต่ความรู้สึกเวลาคุณชุนสอดนิ้วเข้ากับมือเรา แล้วกดลงกับที่นอนนั้นเป็นความไม่เป็นอิสระที่เราค่อนข้างพอใจ หากพูดเรื่องทำนองนี้กันนั้น คุณชุนค่อนข้างดีระดับหนึ่ง (แต่ให้ถามว่าดีที่สุดคือใครเราก็ไม่รู้ เราก็ไม่เคยทำแบบนี้กับใคร จะไปลองก็เกรงว่าจะตายเอา) อย่างน้อยแกก็ใช้เวลากับการชื่นชมตัวเรา ทะนุถนอมเรา ไม่ใส่ใส่แล้วก็แล้วไปเหมือนในแฟ้มงานวิชาการแก ที่ไม่ดีก็เจ็บล่ะ พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ต่อให้ชินมาจากไหนก็มีจุกไปข้าง แต่ถ้าจุกแล้วแกก็รีบจูบเราก็ว่าจุกไปเถอะ เดี๋ยวก็หายแล้วล่ะ ยิ่งช่วงเวลานั้นได้กอดแกแน่นๆสักครั้ง เรารู้สึกดี เราเองไม่ได้เห็นเรื่องพวกนี้เป็นสำคัญนัก แต่ถ้ามันจะทำให้ดีขึ้นในแง่ของความสัมพันธ์ เปิดเผยส่วนที่คนอื่นไม่เห็นราวกับกุมความลับกันและกันไว้ มันไม่ใช่เรื่องแย่อะไร ถ้าให้พูดแบบไม่อายก็ยอมรับว่าบางทีทำแล้วมันก็สบายตัว ไม่ต้องเครียด ไม่ต้องคิดอะไร เพราะหัวโล่งไปหมด เรียบร้อยก็เหนื่อย หลับ แต่ให้ทำบ่อยๆเกรงว่าจะพังเอา

ไม่รู้ว่าโดนฟัดไปกี่รอบ แต่เราตื่นแปดโมงเช้า หลังจากรู้สึกตัวตอนหกโมงแล้วก็หน้ามึนหลับต่อ เมื่ออาบน้ำและกลับมาปลุกคุณชุนที่ผ้าขาวม้าปลิวไปอยู่นอกที่นอน เราสองคนต่างเก็บข้าวของเช็คเอาท์ ลาคุณป้าผู้แสนใจดีพร้อมกับถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ก่อนจะนั่งรถต่อไปที่ในเมือง เรียกสามล้อสกายแลบไปส่งท่าสนามบินเลย เมื่อซื้อตั๋ว โหลดของ ที่นั่งเรียบร้อยเราก็อัดยานอนทันที จนมารู้สึกตัวตอนเครื่องใกล้จะลงที่ดอนเมือง เมื่อเข็นข้าวของออกมาก็เจอคุณเชนทร์ยืนรอยิ้มแป้นเป็นเอกลักษณ์อยู่ จึงจบทริปเที่ยวเชียงคานโดยสวัสดี




“ตาชุนซื้ออะไรมาอีกแล้ว ผ้าขาวม้านี่เลิกซื้อทีเถอะ แม่ไม่อยากให้พ่อเขาใส่”

คุณนายลดาบ่นก่อนจะหยิบมะพร้าวแก้วมาชิมไปด้วยขณะที่แจกแจงของฝาก ซึ่งคุณชุนพาเราแวะมาบ้านสาทรก่อนจะไปหาพ่อแม่เราที่เยาวราชแล้วค่อยไปรับไข่ต้มกลับมาที่ห้อง เจ้าสัวสมคิดที่ได้ข้าวลืมผัวไปแกก็บอกลูกน้องให้ไปหาเมล็ดพันธุ์มาปลูก จะไว้หุงให้คุณนายกินจนโดนฟาดไปผวัะหนึ่ง ส่วนของฝากคุณนายที่ซื้อมาให้จากฮ่องกงนั้นก็พวกกระเป๋าและน้ำหอมที่แกเลือกมาให้เราโยเฉพาะ แกว่าเหมาะกับเรา ให้ใช้ทุกครั้งที่มาที่นี่หรือตอนแกไปหา

“มะพร้าวแก้วอร่อยมั้ยครับแม่ เห็นคนทำเขาว่าเก็บได้สองสามอาทิตย์ แช่ตู้เย็นไว้”

“ไม่ถึงสองสามอาทิตย์หรอก หมดก่อน เดี๋ยวตาแจ็คกลับมาตอนเย็นก็นั่งกินหมดแล้วมั้ง”คุณนายที่วันนี้มวยผมเปิดต้นคอระหงขาวกระจ่างแบบแกก็กรีดกรายนิ้วเลือกนั่นเลือกนี่อยู่พัก ก่อนจะหันมาหาเรา “แล้วนี่เธอจะไม่กลับไปทำที่ออฟฟิศเหรอ?”

“ผมรับงานนอกอยู่แล้วน่ะครับ”เราตอบไปพร้อมกับรอยยิ้มนิดหน่อย

“ยังไงก็ช่วยงานตาชุนบ้างนะ ไม่ทำประจำก็แวะเข้าไปบ้าง ไม่ต้องกลัวใครปากหอยปากปู มาฟ้องฉัน เข้าใจไหม”

“ครับ”เรารับคำเบาๆ ใครจะกล้าขัดแกล่ะเนี่ย ไม่รู้สิ..สำหรับเราคุณนายลดาทั้งสวยและดูมีอำนาจไปในตัว ทำให้เราไม่สามารถเปล่งคำว่าไม่ออกไปได้เวลาแกฝากฝังอะไร...

“ผ้าขาวม้านี่แม่ว่าเอาไปฝากพ่อคุณเชนทร์เธอเถอะ แม่กำลังหัดให้พ่อเขาใส่พวกกางเกงเลอยู่น่ะ”

“แต่พ่อบอกว่าให้เอามาฝากเพราะมันสบายนี่ครับ ชุนใส่ก็สบายดีนะ”เรามองคุณนายลดาที่หน้าเบ้พร้อมกับเสียงเจ้าสัวที่ดังมาจากสวนข้างบ้าน หันมองไปจากประตูใหญ่ข้างบ้านก็เห็นแกใส่เสื้อยืดผ้าขาวม้านั่งตาน้ำข้าวอยู่ตรงแคร่ใต้ต้นมะยมก่อนจะส่งเสียงมาไกลๆ

“ชุน ไม่ลืมแจ่วบองปลาร้าที่พ่อให้ซื้อมาใช่มั้ยลูก อยากจะปั้นข้าวเหนียวจิ้ม คงเป็นตาแสบคัก แสบลาย”เจ้าสัวส่งเสียงทั้งที่ยังเคี้ยวมะพร้าวแก้วสบายอารมณ์ แต่เหมือนแกจะออกเสียงคำว่าแซ่บไม่ถนัดนัก (ซึ่งก่อนจะเรียกเราด้วยคำว่าหมวยคล่องปาก ก็สัมผัสสรรพนามสยองมาหลายครั้งเพราะแกออกเสียงว่าหม-ย) ทว่าที่เห็นจะหนักหน่วงเสียยิ่งกว่าคงจะเป็นท่านั่งชันเข่าข้างเดียวของแก ที่เปิดผ้าขาวม้าพะเยิบพะยาบจนปล่อยงูกลางวันแสกๆเสียงคุณนายลดาหวีดเสียลั่นโดยที่เราปิดตาแทบจะไม่ทัน

“คุณพี่! หุบขาลงเดี๋ยวนี้นะคะ อายเด็กมันบ้าง!!




เราว่าคุณชุนก็ได้เจ้าสัวมาเยอะนะ....
เอ่อ...ตรงไหนเยอะ..ขอไม่บอกแล้วกัน (ยกมือทาบอก)



:D
จะเข้าสู่สิบตอนสุดท้ายของหมวยแล้ว

แท็ก #คุณชุนพี่หมวย จ้า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น