วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2558

(SF) Night of Halloween #halloween2015











Title : night of Halloween
Author : RUNAWAY05
Note : อ้างอิงพลอตส่วนหนึ่งจากเรื่องสั้นเรื่องนึงที่เคยอ่านตอนเด็กๆค่ะ (สักห้าหกปีมาแล้ว) ขออนุญาตเจ้าของต้นฉบับด้วยนะคะ


****************************************



ค่ำคืนวันนี้หลังจากที่มื้ออาหารง่ายๆในหอพักจบสิ้นลง เหล่านักศึกษาก็ใช้ช่วงเวลาที่เหลือไปกับการจุดเทียนไขสร้างบรรยากาศให้กับคืนวันฮาโลวีนนี้ มันเป็นเทศกาลที่นักศึกษาอย่างพวกเขาไม่ได้กลับไปบ้าน และไม่ได้ไปปาร์ตี้ที่ไหน เนื่องจากมีกิจกรรมของทางชมรมที่ต้องทำกันแต่เช้า เมื่อพายฟักทองที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อก่อนรั้วปิดนั้นหมด ก็มีเพียงแก้วน้ำหวานกับเสียงพูดคุยดังออกมาอีกเรื่อยๆ

หอพักของที่นี่มีสี่ตึก และเป็นห้องเดี่ยว ไม่มีระบบรูมเมทเพราะปัญหาของนักศึกษาทำให้ทางมหาวิทยาลัยตัดออก ยิ่งช่วงเทศกาลแม้จะสั้นๆแต่หลายคนก็เลือกที่จะกลับบ้านเพื่อออกไปสนุกกันอย่างเต็มที่ บางคนขี้เกียจก็อาศัยอยู่หอต่อ หรืออย่างพวกเขาที่มีงานต้องทำเลยต้องมาติดแหง็กกันอยู่ที่นี่ ลู่หานที่นั่งร่วมวงสนทนาก็เหยียดตัวพิงกับผนังนั่งกอดเข่า พลันหันไปมองชานยอลที่นั่งขัดสมาธิพังเสียงพูดคุยไปเรื่อยๆ ก่อนที่ดวงตากลมโตจะมองบยอนแบคฮยอน เจ้าของผมสีทองผู้ที่ยังพูดไม่หยุดอยู่ในกลุ่มร้องโวยวายขึ้นมา

“ทำไมพวกเราต้องมาอยู่แบบนี้ด้วยเนี่ย”

“เอาน่า...ก็กิจกรรมมีพรุ่งนี้ นายเลือกอะไรได้ล่ะ”คิมมินซอกที่นั่งหักเฟรนซ์ฟรายในมือเล่นก็เอ่ยขึ้นบ้าง

“แค่ปีเดียวน่า ดีกว่าโดนอาจารย์จื่อเทาเฉ่งเอานะ”อีกเสียงดังขึ้นจากจุนมยอนที่ขยับแว่นเล็กน้อย ก่อนจะมองจางอี้ชิงที่นั่งข้างๆคอยรินโคล่าให้ทุกคน

“แล้วทำไมพวกนายต้องมาอัดกันในห้องฉันด้วย”โดคยองซูผู้เป็นเจ้าของห้องพักห้องนี้บ่นขึ้นบ้าง

“ก็ห้องนายสะอาดที่สุดแล้วนี้ จะให้ไปห้องแบคฮยอนเหรอ อย่างกับรังหนู”จุนมยอนว่าพร้อมกับชานยอลที่เอ่ยเบาๆ

“โวยวายอะไรกันนักหนานะ”

“เฮ้อ..เอาน่า นี่สี่ทุ่มกว่าแล้วนะ มาเล่าเรื่องผีกันหน่อยเป็นไง”มินซอกขยับยิ้มซุกซนโดยที่อี้ชิงก็ส่ายหน้าพรืด

“อย่าน่า ยิ่งนอนคนเดียวอยู่”

“เฮ้ๆ วันฮาโลวีนแบบนี้ก็ต้องมีเรื่องผีน่ะแหล่ะของคู่กัน”แบคฮยอนตบเข่าฉาดพร้อมกับลู่หานที่พยักหน้าเห็นด้วย คยองซูลุกขึ้นไปหยิบผ้าห่มผืนใหญ่ และคนอื่นๆก็ช่วยกันเก็บข้าวของไปกองให้เป็นที่เป็นทาง เจ้าของห้องคลี่ผ้าห่มออกให้ทุกคนห่มขา เว้นเพียงลู่หานที่สอดเท้าเข้าไปเท่านั้น

“ไม่หนาวเหรอ?”ชานยอลถาม

“ไม่เป็นไรหรอก”ลู่หานตอบเบาๆ พร้อมกับมินซอกที่กระแอมไอ

“เรื่องผีที่ไหนไม่สนุกเท่าผีที่มหาลัยเราหรอก ฉันจำได้ว่าแม่บ้านเล่าให้ฟังว่าสิบกว่าปีก่อน มีนักศึกษาคนหนึ่งหน้าตาสะสวย แล้วก็พบรักกับอาจารย์คนนึง ทั้งสองคนแอบมีความสัมพันธ์กัน

ทุกคนเงียบกริบตั้งใจฟังมินซอกซึ่งกดยิ้มนิดหน่อย

“แต่แล้วความจริงก็ปรากฏ ภรรยาของอาจารย์เข้ามาเอาเรื่องนักศึกษาคนนี้ เธอนัดนักศึกษามาตกลงที่ดาดฟ้า แต่ตกลงกันไม่ได้ ก็เลยผลักนักศึกษาคนนั้นจนหัวเธอกระแทกกับเหลี่ยมแท็งก์ปูน ก่อนจะเอาศพเธอไปซ่อนในแท็งก์นั่นแหล่ะ ตรงตึกเก่าท้ายมหาลัยน่ะ”

“อื๋อ”ทุกคนส่งเสียงพร้อมกันโดยที่มินซอกก็เล่าต่อไป

“แต่มันไม่แค่นั้นน่ะสิ หลังจากที่พบศพของเธอแล้ว เขาบอกว่าตอนเย็นๆถ้าเดินไปบนชั้นเกือบถึงดาดฟ้า จะได้ยินเสียงเหมือนคนทุบผนัง แล้วก็มีเสียงหวีดร้องก้องเหมือนเสียงร้องในแท็งก์น้ำดังขึ้นมาตลอดเลย อยากไปลองกันมั้ยล่ะ?”

“โอ๊ย..พอเถอะ ฉันไม่ไหวแล้วนะ”อี้ชิงว่า

“ทำเป็นพูดไปเถอะ ที่คณะนายก็มีเรื่องเล่าเยอะเหมือนกันนี่”แบคฮยอนพูดใส่ “ตาใครต่อไปดี”

“ฉันแล้วกัน”คยองซูว่า “เรื่องมือใต้ต้นแอปเปิ้ลตรงป่าเก่าของพวกวิศวะน่ะ”

“...”เสียงกลืนน้ำลายดังเอื๊อก พร้อมกับลู่หานโน้มกายมาด้านหน้าอย่างตั้งใจฟัง คยองซูผ่อนลมหายใจนิดหน่อยพลันออกปากเนิบๆ

“นานมาแล้วล่ะ เป็นเรื่องเล่ารุ่นต่อรุ่น มีอาจารย์ผู้หญิงที่สอนคณะนั้นคนนึง.. เธอเป็นคนไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ แต่ในคณะที่เธอสอนเต็มไปด้วยเด็กหนุ่มๆหน้าตาดีเต็มไปหมด เธอค่อนข้างมีเงิน และมีลูกศิษย์จำนวนไม่น้อยที่ใช้ช่องทางนี้หลอกเงินจากเธอ ทำเป็นรักเพื่อให้เธอยอมควักค่าใช้จ่ายให้น่ะ”

“เลวชะมัด”มินซอกสบถ ในขณะที่จุนมยอนก็หน้าบึ้งไม่พอใจไปด้วย

“อาจารย์สาวผู้ผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งถูกหลอก ถูกหัวเราะให้อับอาย ก็เริ่มจัดการผู้ชายที่ทรยศความรักของเธอทีละคน ด้วยการเอาไขควงแทงไปที่คอหอยของพวกนั้น ถอดเสื้อผ้า ซ่อนศพเอาไว้ แล้วมาฝังรอบๆต้นแอปเปิ้ลทีละคน...ทีละคน...”

“ฉันกลัวจริงๆนะ”อี้ชิงครวญ

“จนในที่สุดอาจารย์คนนั้นก็สติแตก กินยาฆ่าตัวตาย จดหมายสั่งเสียของเธอเขียนว่า เธอรักต้นแอปเปิ้ลที่สุด ทุกคนคิดว่าเป็นต้นแอปเปิ้ลที่เธอชอบไปยืนดูนั่นล่ะ แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร จนเวลาผ่านไป มีช่วงปีหนึ่งที่ฝนตกติดต่อกันหนักเพราะพายุเข้า จนพายุหมด ภารโรงเลยสังเกตเห็นกระดูกมือคนโผล่ออกมารอบๆต้นแอปเปิ้ล ทั้งที่เหลือแต่กระดูก แต่ท่าทางมือเหล่านั้นเหมือนจะตะกุยขึ้นมาเอาชีวิตรอด”

“อึ๋ย!”ทั้งวงร้องพลันเบียนตัวแทบจะชิดกันโดยทันที แม้แต่ชานยอลกับลู่หานเองก็อดไม่ได้ที่เบียดกายหากันอย่างอัตโนมัติ

“จนได้ทำบุญกันไปนี่แหล่ะ ต้นเก่าเขาถอนทิ้งไปแล้ว ที่ยังอยู่น่ะต้นใหม่ แต่ดินเดิม รุ่นพี่ชอบแกล้งบอกให้รุ่นน้องไปเดินรอบๆ แล้วค่อยเล่าเรื่องนี้ทีหลัง ตอนฉันโดนน่ะช็อคไปเลย ไข้ขึ้นเลยแหล่ะ ต้องให้แม่พาไปโบสถ์ยกใหญ่”คยองซูไหวไหล่เล็กน้อย “จบแล้ว”

“ฟู่”ทุกคนผ่อนลมหายใจออกมาโดยไม่ได้นัดหมาย ก่อนจะหยิบเครื่องดื่มมาจิบให้หายตื่นเต้น บรรยากาศในวงเล่าเรื่องนั้นเงียบไปพักใหญ่ จนกระทั่งมินซอกเอ่ยปากออกมา

“จุนมยอน..นายมีเรื่องจะเล่ามั้ย?”

“ฉันเหรอ?... เล่าแทนคนอื่นได้มั้ยล่ะ ฉันสงสารเพื่อน”ร่างขาวนวลเมื่อต้องแสงเทียนเอ่ยปากเมื่อเห็นเพื่อนทำท่ายุกยิกอย่างอึดอัด

“เออๆ นายกับแบคฮยอนคนละเรื่องก็พอแล้ว ดึกแล้ว”เจ้าของไอเดียกล่าว จุนมยอนจึงยืดตัวนิดหน่อยจึงเอ่ยปากออกมาเรียบๆ

“ประตูแดง”

“อ่า..เรื่องนี้ฉันอยากฟังมากเลย”คยองซูว่า

“ชื่อเรื่องก็น่ากลัวแล้ว”ชานยอลบ่น

“เอาล่ะ เริ่มนะ... อย่างที่พวกนายรู้ สองสามปีที่ผ่านมานี้เอง มันเริ่มจากนักศึกษาชายคนหนึ่งซึ่งเป็นที่นิยมในมหาวิทยาลัย อาศัยอยู่หอสามห้องริมสุด หมอนี่เป็นเดือนคณะ สาวๆตามกรี๊ดไม่ห่างเลยล่ะ

“อ่า..ฉันเคยได้ยินชื่อหมอนั่นมาบ้างนะ”แบคฮยอนเปรย

“นั่นแหล่ะ เพราะความนิยมสูง ทำให้ตัวเองไม่กล้าเปิดเผยว่าที่จริงแล้วคบกับอาจารย์อีกคณะอยู่ แถมอีกฝ่ายยังเป็นผู้ชายด้วยกัน กลัวความนิยมจะตกประมาณนั้น ข้างห้องเคยเรียนเซคเดียวกับฉัน หมอนั่นเล่าว่าทะเลาะกันประจำ เสียงดังโครมคราม ประมาณเที่ยงคืนครึ่งอาจารย์คนนั้นจะเข้าไปที่ห้อง เสียงก็ไม่ชัดมากนะ ผนังหอพวกเราออกแบบมาเก็บเสียงอยู่บ้าง แต่เพื่อนคนนี้ก็ไม่กล้าเล่า เพราะถูกขอไว้ด้วยล่ะ ช่วยได้แค่ปิดปาก แต่ตอนทะเลาะกันไม่รู้จะไปห้ามยังไง”

“ต่อเร็วสิ”คิมมินซอกเร่งด้วยเสียงเบาราวละเมอ

น่า...ก็นั่นล่ะ เกิดเรื่องจนได้ นักศึกษาคนนั้นถูกอาจารย์ฆ่า ช่วงนั้นคนที่อยู่ข้างห้องย้ายไปหอนอก เลยไม่รู้ ศพก็ถูกทิ้งไว้ในห้องนั่นล่ะ จนอาจารย์คนนั้นผูกคอตายในหลายวันต่อมา แล้วก็เขียนจดหมายเรื่องที่ตัวเองฆ่านักศึกษาคนนั้นเอาไว้ แล้วตำรวจก็ตามไปเจอพร้อมกับห้องรอบๆที่ร้องเรียนได้กลิ่นซากศพพอดี”จุนมยอนถอนหายใจ “แต่ไม่จบเท่านั้นน่ะสิ ที่ประตูน่ะมีรอยมือของนักศึกษาคนนั้น ที่น่าจะพยายามตะกายหนีอาจารย์ ล้างเท่าไหร่ก็ไม่ออก ร้ายกว่านั้นคือไม่รู้ว่าใครจงใจแกล้งรึเปล่า เพราะประตูด้านหน้าก็เป็นรอยเลือดรอยเดียวกับประตูด้านในเหมือนกัน สุดท้ายก็ต้องให้ช่างมาทาสีแดงกลบ บทสรุปคือห้องนั้นก็ปล่อยร้าง คั่นห้องเก็บของอีกสองห้องเว้นระยะก่อนจะให้นักศึกษาอาศัยห้องถัดไป แต่ชั้นนั้นก็ไม่ค่อยมีคนอยู่เท่าไหร่แล้วล่ะ”

“ใช่ๆเวลาฉันไปหาเพื่อนที่ชั้นบน เดินผ่านชั้นนั้นทีไรฉันรู้สึกหนาวยะเยือกทุกที แถมสีประตูมองจากไกลๆยังเห็น”คยองซูว่าพลางลูบเนื้อตัวสีหน้าแสยง

“พอแล้วได้มั้ย ฉันไม่ไหวจริงๆนะ”อี้ชิงอ้อนวอนอีกครั้งในขณะที่ชานยอลกับลู่หานก็เบียดตัวเข้าไปชิดกันอีกรอบเรียบร้อย

“อีกเรื่องน่า .. แบคฮยอน ตานายแล้ว”มินซอกยังใจแข็งเอ่ยต่อไปทำเอาอี้ชิงต้องหนีไปซบเพื่อนก่อนจะดึงผ้าไปห่อตัวจนมันพ้นปลายเท้าของลู่หานไป แต่ลู่หานเองก็ไม่ได้ว่าอะไรนักเพราะเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายกำลังกลัว

“เรื่องที่ฉันจะเล่า..อ่า..มันไม่เชิงว่าผีหรอก...พวกนายคงเคยอ่านข่าวบ้างละมั้ง คลองข้างตึกใหญ่น่ะ”แค่เกริ่นหน้าคนที่เหลือก็ซีดหมด แบคฮยอนเม้มปากลันขยับตัวยืดตรง “ก่อนรุ่นเราเข้ามาเรียนสักปี... นักศึกษาคนนึงเป็นเดือนคณะเหมือนกัน แต่เป็นคนเรียบร้อย เป็นผู้ชายล่ะ แต่ก็มีผู้ชายผู้หญิงตามขอความรักไม่หยุด”

“...”

“หนึ่งในบรรดาคนที่มาขอความรักจากคนๆนี้ เป็นลูกชายผู้ช่วยผู้อำนวยการมหาวิทยาลัย ที่ตอนนี้ออกไปแล้วน่ะ ผู้ชายคนนั้นเป็นนักศึกษาแพทย์ แล้วก็ดูเข้ากันดี รุ่นพี่ที่เล่าให้ฟังบอกฉันว่าทั้งคู่ดูเหมาะกันมาก ถึงจะเป็นผู้ชายก็เถอะ ลูกชายผู้ช่วยก็เอาอกเอาใจตลอด ฝั่งนักศึกษาก็ไม่ได้ปฏิเสธ ทุกคนคิดแล้วว่าคงตกลงปลงใจกันแน่นอน เพราะดูว่าชอบพอกัน”

“ก็ดีแล้วนี่นา..แล้วทำไม?”จุนมยอนขมวดคิ้ว แม้แต่อี้ชิงที่ห่มผ้าจนเหลือแค่ตายังส่งเสียงเบาๆ

“แล้วยังไงต่อไปอะ”

“ทางพ่อแม่นักศึกษาไม่ยอมน่ะสิ เขาจะให้ลูกชายแต่งกับผู้หญิงเพราะนักศึกษาคนนี้เป็นลูกชายคนเดียว นักศึกษาเลยต้องตัดสัมพันธ์ไม่ให้ลูกชายผู้ช่วยมายุ่งด้วยอีก อีกคนก็เหมือนเป็นบ้าไปเลย คอยตามตื้อ คอยมาเฝ้าหน้าคณะ อีกคนก็ต้องใจแข็งเดินหนี เป็นทุกวันจนเพื่อนที่เรียนชั้นเดียวกันก็สงสาร”

“...”ลู่หานเกยคางกับหัวเข่านั่งฟังแบคฮยอนเล่าต่อไป

“จนมีอยู่วันนึง ที่มีกิจกรรมที่คณะจนดึก ทุกคนกลับบ้านกันตามปกติ แต่พอรุ่งเช้า..ก็มีคนพบศพนักศึกษาคนนั้น จมอยู่ตรงคลองข้างตึกใหญ่ เหมือนโดนฟันตามตัว..ส่วนอาวุธ...เป็นขวาน”

“...”

“สับค้างคาคอของลูกชายผู้ช่วยที่นั่งพิงตรงต้นไม้ เลือดสาดไปหมด”

“อื๋อ!!

“ที่เป็นข่าวก็ตอนนั้นแหล่ะ แล้วก็มีข่าวลือว่า ถ้าใครผ่านตรงนั้นจะได้ยินเสียงคนร้องไห้ เหมือนนักศึกษาคนนั้นยังไม่อยากตาย แล้วลูกชายผู้ช่วยก็คอยปลอบ เป็นเสียงกระซิบพูดคุยตอนกลางคืน เห็นว่าบริเวณนั้นตอนมืดๆลมจะแรงเป็นพิเศษล่ะ”

“โอย..พอแล้ว แค่เข้าห้องน้ำฉันก็ไม่มีแรงแล้ว”อี้ชิงพูดขึ้นอีกครั้งโดยมินซอกที่ซึมไปด้วยก็เอ่ยปาก

“อืม พอเถอะ ฟังแล้วดิ่งอะ”

“คืนนี้ฉันจะนอนหลับมั้ยเนี่ย”จุนมยอนบ่นพร้อมกับชานยอลที่ลุกขึ้นก่อนใครเพื่อนเพื่อยืดกายหลังจากอยู่นิ่งๆมานาน และคยองซูก็เอ่ยปากขึ้นเรียบๆ

“งั้นก็เอาแก้วมาบ้วนปากแล้วนอนด้วยกันก็ได้ ตอนเช้าค่อยแยกไป ฉันเองก็ไม่กล้านอนคนเดียวแล้วล่ะ”

“ได้ ตกลงตามนี้”แบคฮยอนตอบรับ ก่อนที่คยองซูจะเทน้ำยาบ้วนปากแจกให้ทุกคนแล้วก็พากันเข้านอน เตียงใหญ่เตียงหนึ่งเบียดกันห้าคนก็แทบล้น ไม่มีใครสนใจใยดีหรือหันมาถามลู่หานสักนิด ซึ่งเขาก็ได้แต่บ่นในใจว่าทำไมเพื่อนๆถึงใจร้ายใจดำกับเขาเหลือเกิน

“นี่ กลับกันเถอะ”ชานยอลที่เห็นว่าเตียงเต็มแล้วก็ว่า ลู่หานจึงพยักหน้าก่อนจะพากันออกมาตอนเที่ยงคืน ทั้งคู่เดินไปตามทางอย่างช้าๆและชานยอลก็เอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง “พรุ่งนี้นายจะไปอีกมั้ย?”

“ไปสิ”ลู่หานว่า “ฉันชอบฟังพวกนั้นคุยกัน ชานยอลไม่ชอบเหรอ?”

“เปล่าน่ะ ไปอีกก็ดี”ลู่หานเดินมาส่งชานยอลที่หอสาม เดินตามร่างสูงโปร่งซึ่งย่างกายช้าๆจนมาถึงหน้าห้อง และชานยอลก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากอีกครั้ง

“นายค้างที่นี่มั้ย? มืดแล้วนะ”

“ไม่เป็นไร ใกล้เที่ยงคืนครึ่งแล้วนี่”ลู่หานพูด “เดี๋ยวอาจารย์อี้ฝานก็มานี่แล้วล่ะ”

“งั้นฝันดีนะ”ชานยอลกล่าวตัดบทก่อนจะเข้าห้องไป เจ้าตัวพยายามทำทุกอย่างให้เบาที่สุดและไม่อาบน้ำหรือเปิดไฟ เพราะห้องรอบๆจะนอนไม่หลับถ้าชานยอลทำเสียงดังกลางดึก

ส่วนลู่หานนั้นหลังจากก้าวพ้นออกมาด้านนอก เงยหน้ามองห้องชานยอลที่ค่อนข้างสะดุดตาเพราะมีประตูสีแดงก็เดินออกจากหอสามมาเงียบๆเพื่อกลับที่พัก ร่างเล็กก้าวไปตามถนนจนจวนจะถึงตึกใหญ่ ใบหน้าหวานมองไปที่คลองข้างตึกนั้น สายลมพัดวูบมาอย่างเหน็บหนาว เขากอดตัวเองไม่เคลื่อนไหวใดใดจนรู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้ขึ้นมา เขาไม่ได้อยากร้องไห้ แต่จู่ๆพอมาอยู่ตรงนี้ทุกๆคืน... เขากลับรู้สึกอยากร้องไห้อย่างบอกไม่ถูก

“ร้องไห้อีกแล้วเหรอครับ...”เสียงๆหนึ่งกระซิบที่ริมหูพร้อมกับสัมผัสอบอุ่นของอ้อมกอด ลู่หานหลับตาลงก่อนจะพิงชายหนุ่มร่างสูงดวงตาคมที่ทอดมองอีกฝ่ายอย่างอาทร “ไม่ต้องร้องนะครับ..ผมอยู่นี้แล้ว...ผมจะปกป้องรักของเรา”

“ผมไม่เป็นไร..เซฮุน”ลู่หานสะอื้นฮัก กอดกายตนอย่างหนาวลมเพราะชุดของเขานั้นเปียกชื้นและขาดเพราะของมีคม โดยที่ชายด้านหลังนั้นสวมเชิ้ตสีขาวกางเกงสีดำลำคอแดงฉานไปด้วยเลือดแต่ก็ยังโอบกอดลู่หานเอาไว้ราวปกป้อง ร่างของทั้งสองคนค่อยๆจางหายไปกับพงหญ้าแถวคลองข้างตึกท่ามกลางสายลมที่ยังพัดวูบจนสะท้าน ชายคนเดิมเอ่ยประโลมแผ่วพร้อมกับสุนัขที่หอนรับเกรียวกราวจนทำให้คืนนี้น่าประหวั่นสำหรับใครหลายๆคน

“ผมอยู่นี่แล้ว...ผมอยู่กับคุณ...จะไม่มีใครแยกพวกเราได้อีก...พวกเราจะไม่แยกจากกัน....”




trick or treat?
#เรื่องเล่าฮลว



1 ความคิดเห็น:

  1. มันควรจะน่ากลัว หลอน แต่ทำไมเราเศร้า เหงา รัก มากกว่านะ TT

    ตอบลบ