ผมชื่อสุหฤทธิ์ มาจากคำว่า สุหฤท
แปลว่าผู้เพียบพร้อมด้วยมิตรที่ดี
ส่วนชื่อเล่นนั้นผมชื่อชุน จำไม่ค่อยได้แล้วว่ามีความหมายนัยยะอะไร
แต่ที่จำได้คือคุณตาเป็นคนตั้งให้ ผมมีสองนามสกุล หนึ่งคือสกุลพ่อคือเคอร์เบิร์ก
สองคือสกุลแม่ซึ่งเป็นสกุลหลวงคือโอสถานนท์ ชื่อเต็มของผมเลยค่อนข้างยาวไปหน่อย
เพราะต้องใช้นามสกุลแม่เป็นชื่อรอง นั่นคือ
สุหฤทธิ์ โอสถานนท์ เคอร์เบิร์ก
นามสกุลของแม่นั้นเป็นนามสกุลเก่าแก่
ผู้คนร่วมสายตระกูลต่างมีชื่อเสียงหน้าที่การงานที่ดี เป็นที่นับถือของประชาชน
ส่วนครอบครัวเราเหมือนกับจุดเล็กๆของเส้นสายหนึ่ง แม้จะเกิดในตระกูลผู้ดี
แต่บ้านเรานั้นอยู่กันอย่างเรียบง่าย ยายของผมเรียกจนติดปากว่าหญิงยาย
ท่านไม่เคยแทนตัวเองว่ายาย แต่ท่านแทนตัวเองว่าหญิง (บางครั้งแม่ก็แทนตัวเองว่าหญิง
และเรียกพ่อว่าคุณพี่ เหมือนที่ยายเรียกคุณตา)ส่วนคุณตาท่านเป็นสายตระกูล
แต่งคุณยายเข้าท่านก็ให้เรียกคุณตาก็พอ อย่าเรียกท่านตาหรือพระเจ้าตา
มันจะกลายเป็นลิเกไปเปล่าๆ คุณตาของผมท่านเป็นหมอ อารมณ์ดีและมีทัศนคติกว้างขวาง
แต่ท่านก็เสียลงด้วยโรคประจำตัวตอนผมขึ้นเกรดเจ็ด(เท่ากับมัธยมศึกษาปีที่หนึ่ง)
ในบรรดาลูกๆของคุณตาและหญิงยาย แม่อุ๋งอิ๋ง หรือ
คุณลดา เธอเป็นลูกคนสุดท้องและมีพี่ชายอีกสี่คน พี่ชายของแม่(คุณลุง – ผู้ไม่ค่อยอยากจะนับญาติกับผมนัก)
ต่างมีบทบาทสำคัญในสังคม เป็นที่นับหน้าถือตา ที่เหมือนกันคือเกลียดฝรั่งมังค่าเข้ากระดูก
อาจดูตลกเพราะที่ผ่านหูอาจจะเป็นต่างชาติเหยียดคนไทย
แต่นี่แหล่ะครับชีวิตจริงของครอบครัวผม คุณพ่อของผมคือ เจ้าสัวสมคิด หรือ คริสโตเฟอร์
เคอร์เบิร์ก อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยในแวนคูเวอร์ซึ่งมาปักหลักอยู่เมืองไทย
ลงทุนทำธุรกิจต่างๆและใช้ชีวิตชาวไร่เป็นงานอดิเรก ท่านผู้ดูถูกตลอดมาแม้ว่าท่านจะพยายามสร้างเนื้อสร้างตัวดูแลครอบครัวเราดีแค่ไหน
เพียงเพราะเป็นชาวต่างชาติ ไม่คู่ควรกับนามสกุลผู้ดี(ในความคิดของพวกเขา) ดังนั้น
ความสัมพันธ์ครอบครัวของเรากับทางญาติจึงไม่ค่อยราบรื่น
จะให้ดีหน่อยคือหญิงยายคือยังเมตตาผมอยู่
ตอนที่อาศัยบ้านใหญ่
พ่อกับแม่กระทบกระทั่งกับบรรดาป้าสะใภ้ทุกวัน หนักสุดคือพ่อโดนว่าเป็นไพร่กระฎุมพี
(ชนชั้นพ่อค้าที่ไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง) สุดท้ายแม่ก็ทนไม่ไหว ปรึกษาพ่อและบอกผมว่าอยากจะย้ายออกจากบ้านใหญ่ซึ่งอยู่ราชประสงค์
ไปอยู่บ้านที่สาทร ซึ่งเป็นบ้านหลังเก่าของคุณตา
หลังจากขอกับหญิงยายและท่านก็เข้าใจ พ่อ แม่ ผม กับแม่นมของแม่ก็พากันย้ายมาอยู่ที่สาทร
เราสามคนพ่อแม่ลูกอยู่อย่างตัดขาดราวไม่มีญาติอื่นใดนอกจากหญิงยาย
คุณย่าและคุณปู่ของผมก็อยู่ที่แคนาดา นานๆเราจะไปเยี่ยมสักครั้ง และช่วงนั้นผมจึงได้ย้ายไปเรียนโรงเรียนคริสเตียนแห่งหนึ่งซึ่งไม่ไกลย่านเยาวราชมากนัก
ตอนนั้นเท่าที่จำความได้ผมไม่ชอบออกนอกบ้าน
ไม่ค่อยทานข้าวปลา รูปร่างก็เลยผอมอ่อนแอ ผมไม่ชอบออกไปไหนเพราะมักจะถูกล้อว่าคนประหลาด
แม้กับเด็กแถวๆย่านบ้านก็ตาม ผมหมือนอยูกับคำล้อเลียนมาตลอดชีวิต อยู่จนชิน อยู่จนรู้ว่าการที่เราไม่ชอบใจกับคำล้อเลียน
ใช่ตัวคำล้อเลียนเพราะเรารู้แก่ใจว่าไม่จริง แต่เป็นความรำคาญ ให้หยุดก็ไม่ยอมหยุด
ผมเลยติดนิสัยเผด็จการมาตั้งแต่นั้น ใครไม่เชื่อฟังผมไม่ยุ่ง ทำเหมือนเขาไม่มีตัวตน
ก็พออยู่ได้
จนวันหนึ่งแม่บอกว่าวันนี้จะมารับช้า
ให้ไปกับคุณน้าคนหนึ่งซึ่งเป็นภรรยาของช่างซ่อมที่ผมเคยเห็นหน้าครั้งสองครั้ง คุณป้ามารับผมแต่หัววัน
ช่างพอเหมาะพอดีกับที่ผมกำลังรำคาญคนในห้อง เลยเกาะขาคุณป้าเดินตามท่านมาจนเห็นเด็กผู้ชายสามคน
อยู่ในชุดที่ผมไม่เคยเห็น เสื้อสีขาว กางเกงกากี ตัดผมสั้นๆ
คนหนึ่งเหมือนคนกำลังเพิ่งตื่น ผิวคล้ำๆ คนหนึ่งตาเท่าเม็ดก๋วยจี๊(เม็ดแตงโม)
ผิวขาวๆมองผมอย่างไม่ค่อยเป็นมิตร แต่ที่ดูไม่เป็นมิตรที่สุดคงเป็นคนกลาง ตาโตๆ
ขนตายาวๆ ที่จ้องผมเขม็งก่อนจะออกเสียงห้วนๆ
“แม่ไปเก็บใครมาอะ”
“ปาก...นี่ลูกคุณนายลดาที่เขามาฝากฝังเอาไว้วันก่อนไง
ชื่อคุณชุน คุณชุนคะ นี่เจ้าหมวย ลูกชายของป้าเอง คนขาวชื่อเจ้าบี๋
คนดำชื่อเจ้าอิน”
“อินไม่ดำนะอาอี๊ ม๊าบอกอินผิวสีน้ำผึ้งกำลังสวย”
“เออนั่นแหล่ะ อ้าวรถลูกชิ้นปิ้งมาพอดี
คุณชุนกินลูกชิ้นมั้ยคะเดี๋ยวป้าซื้อให้ สามเสือนี่ก็ไปเลือกกันคนละไม้ อย่าช้า”
“เย้”ทั้งสามพากันวิ่งไปที่รถขายลูกชิ้นปิ้ง
ที่สะดุดตาผมสุดคือพี่หมวย เหมือนเด็กผู้หญิงหัวเกรียนพิกล ผู้ชายอะไรชื่อหมวย
ฟังแล้วแปลกหูจริงๆ
หลังจากนั้นเด็กกางเกงสีกากีทั้งสามก็เข้ามามีบทบาทในชีวิตผม
โดยเฉพาะพี่หมวย พี่หมวยคอยต่อยและปกป้องผมจากพวกชอบล้อเลียนน่ารำคาญ
พอไปเรียนก็ไม่มีใครกล้าล้อผมแล้ว กลัวพี่หมวยมาต่อยเอา
ชีวิตในโรงเรียนผมมีความสุขมากขึ้น พี่หมวย พี่บี๋ พี่อิน
ไม่ล้อว่าผมเป็นคนประหลาด แม้จะต้องซื้อไอศกรีมหมุนถัง หรือไอศกรีมตัด
บางวันก็เป็นไอศกรีมวอลล์ที่ขับเร็วราวฟ้าผ่าเลี้ยงทุกวันอาทิตย์
ตามด้วยหน้าที่เด็กเก็บบอล แต่ผมก็มีความสุขดี ใครก็ต้องการที่ๆมีตัวตนกันทั้งนั้น
ผมกับพี่หมวยอยู่ด้วยกันบ่อยมากขึ้น
แม้พี่หมวยจะชอบพูดห้วนๆ เล่นอะไรแผลงๆและดื้อรั้น แต่กับผมพี่หมวยใจดีเสมอ
ตอนนั้นผมยังเยาว์เกินกว่าจะเรียกว่าคอความรู้สึกแบบไหน แต่ที่ติดอยู่ในใจของผมคือสักวันหนึ่ง...
ต้องมีสักวันหนึ่งที่ผมปกป้องเขาได้
ต้องมีสักวันที่ผมจะทำให้พี่หมวยเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลกใบนี้
ทว่า...สิ่งนั้นกลับไปไม่ถึงที่ต้องการเสียก่อน
จู่ๆพี่หมวยก็ไม่อยากเจอหน้าผม ตอนเย็นมีเพียงคุณป้าที่มารับผมแทน
วันหยุดกลายเป็นตัวผมที่ต้องนอนที่บ้านอย่างเงียบเหงา
ผมกลบไปใช้ชีวิตเดิมๆอีกครั้ง และพบกลุ่มที่เคยล้อเลียนผมเข้ามาทักขณะที่ผมรอคุณป้ามารับ
พวกนั้นพูดจาหยาบคาย ด่าทอด้วยคำภาษาไทยด้วยความคิดว่าผมฟังไม่ออก
แต่ที่ผมไม่ชอบที่สุดคือเรียกพี่หมวยว่าลูกเจ๊ก ผมถูกสอนมาว่าเจ๊กคือคำไม่สุภาพ
ผมเกลียดการดูถูก ผมได้แต่ยืนอดทนรอจนพวกนั้นไม่สนุก
ก่อนที่ตัวหัวหน้าจะเดินผ่านผมไปพร้อมเสียงแว่วๆว่าตอนนี้พี่หมวยก็ไม่มีคนคบ
พวกมันจะยกพวกไปหาเรื่องพี่หมวย
ไม่ทันรู้ตัว ผมกระชากกระเป๋าเป้เจ้าหัวหน้านั่นกลับมา
รู้สึกตัวอีกทีผมก็ต่อยหมอนั่นดั้งจมูกยุบ เลือดสดยังเหนอเหนียวที่หมัดของผมพร้อมกับเสียงร้องไห้จ้า
เดือดร้อนพ่อกับแม่ต้องมาไกล่เกลี่ยเพราะทางพ่อแม่หมอนั่นก็เอาแต่ใช้เสียงดังจนน่าปวดหู
แต่สุดท้ายก็ได้เงินค่าทำขวัญปิดปากไป ในตอนนั้นพ่อนั่งลงข้างๆผม ท่านไม่ได้ดุด่า
ท่านลูบหัวผมเบาๆก่อนจะสอนประโยคหนึ่ง
“พ่อเข้าใจนะชุน...ว่าชุนอยากปกป้องใครสักคนหนึ่ง...จากพวกที่อยู่ต่ำกว่าซึ่งพยายามฉุดคนที่เราอยากปกป้องให้ต่ำลง”
“...”
“แต่เราอย่าลดตัวลงไปเปรอะเปื้อนพวกนั้น
อย่ากระโดดลงไปในจุดต่ำกว่าเพื่อปกป้องใครสักคน มีอีกหลายวิธีนอกจากใช้กำลัง...รู้ใช่มั้ย?”
“ครับ”
“ดีแล้วลูก...จริงๆพ่อก็อยากทำแบบลุกกับพ่อเด็กมันนะ
เห็นเราเป็นฝรั่งจ้องจะรดจะไถ อวดรู้ไปอีก คนพวกนี้นี่จริงๆเลย”ผมยิ้มแม้มันจะเป็นยิ้มเศร้าๆในสภาพยับยินเพราะหนึ่งต่อหก
แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปถึงหูหญิงยาย
ผมเลยต้องย้ายโรงเรียนไปแถวๆสยามเพื่อใกล้หูใกล้ตาท่าน ผมขอโอกาสเจอพี่หมวยอีกสักครั้งเพื่อที่จะกล่าวลา
แต่พี่หมวยก็เอาแต่ขังตัวเองไม่ยอมมาเจอหน้าผม
มันช่างเป็นการจากลาที่แย่ที่สุด...
เวลาผ่านไปจนผมจบการศึกษามัธยมปลาย และไปเรียนต่อปริญญาตรีที่เยอรมัน
คุณแม่ก็มีน้องชื่อว่าน้องแจ็ค ท่านเลยไม่เหงานัก ชีวิตของผมที่เยอรมันพบเจอผู้คนมากหน้าหลายตา
รวมทั้งเหล่าญาติที่เริ่มมาวุ่นวายกับครอบครัวของเรา
สุดท้ายผมก็ถูกแนะนำให้ศึกษาดูใจกับไอริณ ลูกสาวของคุณหญิงศันสนีย์ เพื่อนของแม่
ไอริณเป็นผู้หญิงหัวสมัยใหม่และค่อนข้างฉลาด เธออ่อนกว่าผมประมาณปีหนึ่ง
เป็นคนมั่นใจด้วยรูปทรัพย์และปัญญา แต่กลับไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกมีความสุขนัก
บางครั้งแค่สั่งอาหารก็เหมือนสงครามที่เต็มไปด้วยการปะทะคารม
ผมมองเห็นแน่นอนว่าอนาคตจะเป็นไปอย่างไร ก่อนกลับเมืองไทยผมเลยตัดสินใจยุติความสัมพันธ์กับเธอ
และแน่นอนว่าริณไม่แคร์นัก
ผมจบตรีกลับมาที่ไทย นอนเล่นอยู่เดือนสองเดือน
พ่อก็ให้ผมเข้าดูแลบริษัทขายของทางอินเตอร์เน็ตโดยรับของจากจีนและญี่ปุ่นมาในราคาโรงงาน
แรกเริ่มผมไม่ค่อยอยู่ในออฟฟิศ ผมเบื่อ ชอบเดินดูนั่นดูนี่ พนักงานชอบบอกว่าผมแปลก
เป็นลูกชายเจ้าของแล้วมากวาดใบไม้ในโรงรถ ผมเองก็เบื่อ พวกเอาแต่นินทาเจ้านาย
งานไม่เดิน ไม่พัฒนา ผมเลยขึ้นตึกรอบแรก ตรวจเอกสารงานทั้งหมด
แล้วก็สั่งปลดมันซะตรงนั้น นิสัยเผด็จการของผมถูกนำมาใช้อย่างเต็มที่
แต่ก็มีลิมิตและความเหมาะสม
แต่แล้วในวันหนึ่งที่ผมหาเรื่องไม่อยู่ในห้องทำงาน
ผมออกมาเดินดูรอบๆออฟฟิศแล้วก็เจอคนๆหนึ่ง
เป็นผู้ชายตัวเล็กๆที่ดูไม่คุ้นตาเท่าไหร่ แต่ทันทีที่เห็นดวงตาโตๆกับใบหน้าด้านข้างก็ทำเอาผมหลุดปากร้องเรียกชื่อของเขาออกไปทันที
“พี่หมวย! พี่หมวยรึเปล่า?!”เขาหันมาหาผมเหมือนตกใจอะไรสักอย่าง
ดวงตากลมสวยราวกับกวางนั้นเบิกกว้าง ก่อนที่คิ้วจะขมวดลงน้อยๆ
ทำไมน่ารัก...
“ติ๋ม?”สุดท้ายเขาก็เปล่งคำพูดออกมา
ทำเอาผมโคลงศีรษะหัวเราะไปเลยทีเดียว
“ติ๋มไรอะพี่ ฉายานั่นแม่ง ฮ่าๆ
มาทำงานนี่เหรอ มานานรึยัง”
“ก็สองเดือนแล้ว”เขาเอ่ยห้วนๆเหมือนเดิม
แต่จากสีหน้าของเขาคงเพราะกำลังสับสน
“ผมไม่รู้ก็เลยไม่ได้มาแถวนี้
เดี๋ยวผมมาหาบ่อยๆนะ”ผมบอกเขาไปแบบนั้นก่อนจะรีบสาวเท้าออกมา มันอดไม่ได้ที่จะแตะมือเข้ากับบริเวณหัวใจ
เหมือนคนๆหนึ่งได้เดินกลับมากับความรู้สึกทั้งหมดมวล และผมก็รู้ว่าผมรู้สึกอะไร
เพียงแต่ผมยังไม่อยากเชื่อว่าผมได้เก็บความรู้สึกเอาไว้ให้คนนี้ๆจริงหรือเปล่า
พี่หมวยเป็นคนน่ารัก
ออกจะซื่อๆผิดกับตอนเด็กๆที่ทั้งดื้อและเฮี้ยวพอตัว แต่แปลกที่ความซื่อปนมึนเล็กๆนั้นยิ่งทำให้ผมอยากคุยกับเขา
ผมนัดเขากินข้าวทุกเย็นจนรยะหลังๆพี่หมวยเริ่มกินแต่กับ
เลยเข้าใจว่าเขาคงไม่อยากกินข้าว ผมเลยเปลี่ยนแผนชวนเขาไปกินขนมหวานร้านไกลๆ
ไม่มีอะไรเป็นเหตุผลอื่นนอกจากอยากอยู่ด้วยนานๆ หนักมากเขาผมก็กลับมาติดเขาเหมือนตอนเด็กๆ
เลยให้เขามาเป็นเลขา คอยช่วยทำเอกสารจัดการงานจุกจิก
และเปิดรับตำแหน่งเขาเพิ่มเติมแทน คราวนี้เราสองคนเลยได้อยู่ด้วยกันมากขึ้น ผมรู้ว่าเป็นอำนาจหน้าที่
ที่ไม่ถูกต้องนัก แต่พ่อบอกว่า อำนาจในมือมีก็ใช้ ผมถึงได้ลองดู
ให้เล่าเรื่องของเขามันก็มีหลายเรื่องนะครับ
ตอนที่ผมเขียนบันทึกอยู่นี้ก็อดอมยิ้มไม่ได้ คุณเชื่อไหมว่าครั้งแรกที่เขาขึ้นไปนั่งบนรถของผม
เขาขึ้นไปนั่ง ถอดรองเท้าเคาะฝุ่น วางรองเท้าลงกับพื้นรถแล้วจึงปืดประตู
หรือตอนที่เขาเปลี่ยนจากผ้าใบ้มาใส่นองเท้าหนังหุ้มข้อกับยกส้นที่ผมซื้อให้
(โดยอ้างว่าได้บัตรกำนัลจากลูกค้า) ท่าทางของเขาเหมือนผู้หญิงใส่ส้นสูงครั้งแรก
ยืนกระโดกกระเดกอยู่กลางบันไดเลื่อน จนกลัวว่าจะหกคะเมนลง
หรือตอนหัดกินกิมจิครั้งแรก ที่เขาซดน้ำกิมจิเสียงดังอยู่ในร้านอาหารญี่ปุ่นยี่ห้อภูเขาจนปากเป็นคราบ
ไม่รู้สิครับ...ผมมีพี่หมวยอยู่ใกล้ๆเหมือนมีลูกชายพิกล
แต่ผมชอบที่เขาเรียนรู้อะไรง่ายๆแล้วยิ้ม ผมบอกแล้วเขาเชื่อ
หรือสีหน้าตื่นตาตื่นใจกับเรื่องเล็กๆน้อยๆสำหรับผม (เช่น น้ำหอมขวดละห้าพัน)
ผมรู้สึกสบายใจราวกับย้อนกลับไปสู่วัยเด็กอีกครั้งที่มีเขาอยู่ใกล้ๆ
จะว่าผมนิสัยไม่ดีก็ได้นะครับ...แต่ลึกๆผมแอบดีใจที่พี่หมวยย้ายมาอยู่หอ
เขาจะได้ไปไหนมาไหนกับผมได้มากขึ้น (ผมนี่แหล่ะชวน)
ความทรงจำของผมถูกบันทึกด้วยรูปของพี่หมวยแต่ละวัน พี่หมวยกำลังกดลิฟต์
พี่หมวยที่ตั้งใจกดสเลอปี้ พี่หมวยที่วิ่งตามรถไอติมไผ่ทองหน้าออฟฟิศ
พี่หมวยที่กินส้มตำแล้วก็นั่งร้องไห้เพราะเผ็ด มันไม่ใช่รูปสวยงามเหมือนผู้หญิงในนิตยสาร
แต่พี่หมวยเป็นอะไรที่ผมจับต้องได้ ผมชอบที่พี่หมวยกินนั่นกินนี่อย่างมีความสุข ไม่ต้องอด
ไม่ต้องกลัวจะอ้วน (เหมือนเขาเคยจัดอาหารคลีนมาครั้ง แล้วก็ไม่จัดมาอีก
คงจะขี้เกียจ) สำหรับตัวผม พี่หมวยเป็นคนที่ทำให้ผมต้องถามคำถามโง่ๆอยู่เสมอ
สบายดีไหม จะไปไหน มาแล้วเหรอ(ทั้งที่เห็นว่ามาแล้ว) กินข้าวหรือยัง กินกับอะไร
ทั้งที่กับริณผมไม่เคยคิดจะถามแบบนี้...ผมแค่อยากจะคุยเท่านั้น..
จนช่วงประจวบเหมาะมาถึง ผมพาเขาไปที่พัทยา เราเปิดห้องอยู่ด้วยกัน
เขาไม่มีทางรู้ว่าผมมีความสุขแค่ไหนที่เขาเอื้อมมือมากอดเอวตอนผมขี่มอเตอร์ไซค์ไปถนน
ผมเองก็ไม่รู้ตัวเองนักที่เผลอยิ้มออกมาขณะมองเขาเคี้ยวกุ้งจนแก้มตุ่ย
ผมไม่เคยที่จะเอ็นดูคนที่แก่กว่ามาก่อน และผมคิดว่าพี่หมวยจะเป็นคนแรกที่ทำให้ผมรู้สึกแบบนั้น
ตอนที่พวกเราไปว่างน้ำในสระ ในตอนนั้นผมยิ่งรู้สึกว่าผมละสายตาไปจากพี่หมวยไม่ได้
เขาคงไม่รู้ตัวว่าผิวเนื้อของเขาเวลาเปียกน้ำมันชวนให้คนอื่นคิดมาก เวลาหยดน้ำเกาะที่ขนตาของเขา
ความรู้สึกเหมือนผมกำลังมองภาพวาดจากจิตรกรเอก มันเป็นช่วงเวลาที่ดีและอึดอัดเล็กน้อยที่ต้องซ่อนความรู้สึก
และเป็นตัวผมที่เปิดเผยทุกอย่างออกไป...
รู้ไหมว่าผมอึ้งเหมือนเสียศูนย์ทันทีที่เขาพูดว่าดูกันไปก่อน
พี่หมวยมีกำแพงที่ไม่ได้แข็งกร้าวมากนัก แต่ก็ทำเอาผมไปไม่เป็นทีเดียว เพราะตัวผมต่อให้ไม่คบกับใครขั้นแฟน
แต่ผมไม่รุกหาใครก่อน และไม่เคยถูกปฏิเสธนิ่มๆแบบนี้ ชีวิตหนุ่มลูกครึ่งจบนอก
ตระกูลผู้ดีเป็นที่มายหมาดของใครใครมานักต่อหนัก
ตามเทียวไล้เทียงขื่อตามที่ทำงานหรือตามงานสังสรรค์ ผมไม่ยักจะสนใจ
ผมไล่สายตาตามพี่หมวยและพบว่าอีกคนปฏิเสธแบบแบ่งรับแบ่งสู้
แต่แปลกที่ผมไม่รู้สึกว่าท้อใจเลยที่เป็นแบบนั้น
เนิ่นนาน...นานวันเข้า...ผมถึงรู้ว่าตัวเองนั้นโง่เขลา
ปากเขาบอกคบกันไปก่อนแต่การกระทำนั้นไม่ใช่เท่าใด ใครไปเลียบเคียงถามผมมีอันต้องโดนสายตาจากพี่หมวยทุกทีไป
เขาเป็นคนหึงไม่รู้ตัวนะครับ ปากเปล่าแต่สีหน้ามาเต็ม แค่การหึงหวงเพียงเล็กๆน้อยๆกลับรู้สึกว่าสำคัญ...
ผมจึงไม่หวั่นนักหากผมกับเขาต้องดูกันไปก่อนสักสี่สิบห้าสิบปี...
:D
คำสารภาพของพระเอก
แท็ก #คุณชุนพี่หมวย ค้าบ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น