วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2558

บันทึกของคุณชุน ฉบับที่ ๑













ผมชื่อสุหฤทธิ์ มาจากคำว่า สุหฤท แปลว่าผู้เพียบพร้อมด้วยมิตรที่ดี

ส่วนชื่อเล่นนั้นผมชื่อชุน จำไม่ค่อยได้แล้วว่ามีความหมายนัยยะอะไร แต่ที่จำได้คือคุณตาเป็นคนตั้งให้ ผมมีสองนามสกุล หนึ่งคือสกุลพ่อคือเคอร์เบิร์ก สองคือสกุลแม่ซึ่งเป็นสกุลหลวงคือโอสถานนท์ ชื่อเต็มของผมเลยค่อนข้างยาวไปหน่อย เพราะต้องใช้นามสกุลแม่เป็นชื่อรอง นั่นคือ สุหฤทธิ์ โอสถานนท์ เคอร์เบิร์ก

นามสกุลของแม่นั้นเป็นนามสกุลเก่าแก่ ผู้คนร่วมสายตระกูลต่างมีชื่อเสียงหน้าที่การงานที่ดี เป็นที่นับถือของประชาชน ส่วนครอบครัวเราเหมือนกับจุดเล็กๆของเส้นสายหนึ่ง แม้จะเกิดในตระกูลผู้ดี แต่บ้านเรานั้นอยู่กันอย่างเรียบง่าย ยายของผมเรียกจนติดปากว่าหญิงยาย ท่านไม่เคยแทนตัวเองว่ายาย แต่ท่านแทนตัวเองว่าหญิง (บางครั้งแม่ก็แทนตัวเองว่าหญิง และเรียกพ่อว่าคุณพี่ เหมือนที่ยายเรียกคุณตา)ส่วนคุณตาท่านเป็นสายตระกูล แต่งคุณยายเข้าท่านก็ให้เรียกคุณตาก็พอ อย่าเรียกท่านตาหรือพระเจ้าตา มันจะกลายเป็นลิเกไปเปล่าๆ คุณตาของผมท่านเป็นหมอ อารมณ์ดีและมีทัศนคติกว้างขวาง แต่ท่านก็เสียลงด้วยโรคประจำตัวตอนผมขึ้นเกรดเจ็ด(เท่ากับมัธยมศึกษาปีที่หนึ่ง)

ในบรรดาลูกๆของคุณตาและหญิงยาย แม่อุ๋งอิ๋ง หรือ คุณลดา เธอเป็นลูกคนสุดท้องและมีพี่ชายอีกสี่คน พี่ชายของแม่(คุณลุง – ผู้ไม่ค่อยอยากจะนับญาติกับผมนัก) ต่างมีบทบาทสำคัญในสังคม เป็นที่นับหน้าถือตา ที่เหมือนกันคือเกลียดฝรั่งมังค่าเข้ากระดูก อาจดูตลกเพราะที่ผ่านหูอาจจะเป็นต่างชาติเหยียดคนไทย แต่นี่แหล่ะครับชีวิตจริงของครอบครัวผม คุณพ่อของผมคือ เจ้าสัวสมคิด หรือ คริสโตเฟอร์ เคอร์เบิร์ก อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยในแวนคูเวอร์ซึ่งมาปักหลักอยู่เมืองไทย ลงทุนทำธุรกิจต่างๆและใช้ชีวิตชาวไร่เป็นงานอดิเรก ท่านผู้ดูถูกตลอดมาแม้ว่าท่านจะพยายามสร้างเนื้อสร้างตัวดูแลครอบครัวเราดีแค่ไหน เพียงเพราะเป็นชาวต่างชาติ ไม่คู่ควรกับนามสกุลผู้ดี(ในความคิดของพวกเขา) ดังนั้น ความสัมพันธ์ครอบครัวของเรากับทางญาติจึงไม่ค่อยราบรื่น จะให้ดีหน่อยคือหญิงยายคือยังเมตตาผมอยู่

ตอนที่อาศัยบ้านใหญ่ พ่อกับแม่กระทบกระทั่งกับบรรดาป้าสะใภ้ทุกวัน หนักสุดคือพ่อโดนว่าเป็นไพร่กระฎุมพี (ชนชั้นพ่อค้าที่ไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง) สุดท้ายแม่ก็ทนไม่ไหว ปรึกษาพ่อและบอกผมว่าอยากจะย้ายออกจากบ้านใหญ่ซึ่งอยู่ราชประสงค์ ไปอยู่บ้านที่สาทร ซึ่งเป็นบ้านหลังเก่าของคุณตา หลังจากขอกับหญิงยายและท่านก็เข้าใจ พ่อ แม่ ผม กับแม่นมของแม่ก็พากันย้ายมาอยู่ที่สาทร เราสามคนพ่อแม่ลูกอยู่อย่างตัดขาดราวไม่มีญาติอื่นใดนอกจากหญิงยาย คุณย่าและคุณปู่ของผมก็อยู่ที่แคนาดา นานๆเราจะไปเยี่ยมสักครั้ง และช่วงนั้นผมจึงได้ย้ายไปเรียนโรงเรียนคริสเตียนแห่งหนึ่งซึ่งไม่ไกลย่านเยาวราชมากนัก

ตอนนั้นเท่าที่จำความได้ผมไม่ชอบออกนอกบ้าน ไม่ค่อยทานข้าวปลา รูปร่างก็เลยผอมอ่อนแอ ผมไม่ชอบออกไปไหนเพราะมักจะถูกล้อว่าคนประหลาด แม้กับเด็กแถวๆย่านบ้านก็ตาม ผมหมือนอยูกับคำล้อเลียนมาตลอดชีวิต อยู่จนชิน อยู่จนรู้ว่าการที่เราไม่ชอบใจกับคำล้อเลียน ใช่ตัวคำล้อเลียนเพราะเรารู้แก่ใจว่าไม่จริง แต่เป็นความรำคาญ ให้หยุดก็ไม่ยอมหยุด ผมเลยติดนิสัยเผด็จการมาตั้งแต่นั้น ใครไม่เชื่อฟังผมไม่ยุ่ง ทำเหมือนเขาไม่มีตัวตน ก็พออยู่ได้

จนวันหนึ่งแม่บอกว่าวันนี้จะมารับช้า ให้ไปกับคุณน้าคนหนึ่งซึ่งเป็นภรรยาของช่างซ่อมที่ผมเคยเห็นหน้าครั้งสองครั้ง คุณป้ามารับผมแต่หัววัน ช่างพอเหมาะพอดีกับที่ผมกำลังรำคาญคนในห้อง เลยเกาะขาคุณป้าเดินตามท่านมาจนเห็นเด็กผู้ชายสามคน อยู่ในชุดที่ผมไม่เคยเห็น เสื้อสีขาว กางเกงกากี ตัดผมสั้นๆ คนหนึ่งเหมือนคนกำลังเพิ่งตื่น ผิวคล้ำๆ คนหนึ่งตาเท่าเม็ดก๋วยจี๊(เม็ดแตงโม) ผิวขาวๆมองผมอย่างไม่ค่อยเป็นมิตร แต่ที่ดูไม่เป็นมิตรที่สุดคงเป็นคนกลาง ตาโตๆ ขนตายาวๆ ที่จ้องผมเขม็งก่อนจะออกเสียงห้วนๆ

“แม่ไปเก็บใครมาอะ”

“ปาก...นี่ลูกคุณนายลดาที่เขามาฝากฝังเอาไว้วันก่อนไง ชื่อคุณชุน คุณชุนคะ นี่เจ้าหมวย ลูกชายของป้าเอง คนขาวชื่อเจ้าบี๋ คนดำชื่อเจ้าอิน”

 “อินไม่ดำนะอาอี๊ ม๊าบอกอินผิวสีน้ำผึ้งกำลังสวย”

“เออนั่นแหล่ะ อ้าวรถลูกชิ้นปิ้งมาพอดี คุณชุนกินลูกชิ้นมั้ยคะเดี๋ยวป้าซื้อให้ สามเสือนี่ก็ไปเลือกกันคนละไม้ อย่าช้า”

“เย้”ทั้งสามพากันวิ่งไปที่รถขายลูกชิ้นปิ้ง ที่สะดุดตาผมสุดคือพี่หมวย เหมือนเด็กผู้หญิงหัวเกรียนพิกล ผู้ชายอะไรชื่อหมวย ฟังแล้วแปลกหูจริงๆ

หลังจากนั้นเด็กกางเกงสีกากีทั้งสามก็เข้ามามีบทบาทในชีวิตผม โดยเฉพาะพี่หมวย พี่หมวยคอยต่อยและปกป้องผมจากพวกชอบล้อเลียนน่ารำคาญ พอไปเรียนก็ไม่มีใครกล้าล้อผมแล้ว กลัวพี่หมวยมาต่อยเอา ชีวิตในโรงเรียนผมมีความสุขมากขึ้น พี่หมวย พี่บี๋ พี่อิน ไม่ล้อว่าผมเป็นคนประหลาด แม้จะต้องซื้อไอศกรีมหมุนถัง หรือไอศกรีมตัด บางวันก็เป็นไอศกรีมวอลล์ที่ขับเร็วราวฟ้าผ่าเลี้ยงทุกวันอาทิตย์ ตามด้วยหน้าที่เด็กเก็บบอล แต่ผมก็มีความสุขดี ใครก็ต้องการที่ๆมีตัวตนกันทั้งนั้น

ผมกับพี่หมวยอยู่ด้วยกันบ่อยมากขึ้น แม้พี่หมวยจะชอบพูดห้วนๆ เล่นอะไรแผลงๆและดื้อรั้น แต่กับผมพี่หมวยใจดีเสมอ ตอนนั้นผมยังเยาว์เกินกว่าจะเรียกว่าคอความรู้สึกแบบไหน แต่ที่ติดอยู่ในใจของผมคือสักวันหนึ่ง... ต้องมีสักวันหนึ่งที่ผมปกป้องเขาได้ ต้องมีสักวันที่ผมจะทำให้พี่หมวยเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลกใบนี้

ทว่า...สิ่งนั้นกลับไปไม่ถึงที่ต้องการเสียก่อน จู่ๆพี่หมวยก็ไม่อยากเจอหน้าผม ตอนเย็นมีเพียงคุณป้าที่มารับผมแทน วันหยุดกลายเป็นตัวผมที่ต้องนอนที่บ้านอย่างเงียบเหงา ผมกลบไปใช้ชีวิตเดิมๆอีกครั้ง และพบกลุ่มที่เคยล้อเลียนผมเข้ามาทักขณะที่ผมรอคุณป้ามารับ พวกนั้นพูดจาหยาบคาย ด่าทอด้วยคำภาษาไทยด้วยความคิดว่าผมฟังไม่ออก แต่ที่ผมไม่ชอบที่สุดคือเรียกพี่หมวยว่าลูกเจ๊ก ผมถูกสอนมาว่าเจ๊กคือคำไม่สุภาพ ผมเกลียดการดูถูก ผมได้แต่ยืนอดทนรอจนพวกนั้นไม่สนุก ก่อนที่ตัวหัวหน้าจะเดินผ่านผมไปพร้อมเสียงแว่วๆว่าตอนนี้พี่หมวยก็ไม่มีคนคบ พวกมันจะยกพวกไปหาเรื่องพี่หมวย

ไม่ทันรู้ตัว ผมกระชากกระเป๋าเป้เจ้าหัวหน้านั่นกลับมา รู้สึกตัวอีกทีผมก็ต่อยหมอนั่นดั้งจมูกยุบ เลือดสดยังเหนอเหนียวที่หมัดของผมพร้อมกับเสียงร้องไห้จ้า เดือดร้อนพ่อกับแม่ต้องมาไกล่เกลี่ยเพราะทางพ่อแม่หมอนั่นก็เอาแต่ใช้เสียงดังจนน่าปวดหู แต่สุดท้ายก็ได้เงินค่าทำขวัญปิดปากไป ในตอนนั้นพ่อนั่งลงข้างๆผม ท่านไม่ได้ดุด่า ท่านลูบหัวผมเบาๆก่อนจะสอนประโยคหนึ่ง

“พ่อเข้าใจนะชุน...ว่าชุนอยากปกป้องใครสักคนหนึ่ง...จากพวกที่อยู่ต่ำกว่าซึ่งพยายามฉุดคนที่เราอยากปกป้องให้ต่ำลง”

“...”

“แต่เราอย่าลดตัวลงไปเปรอะเปื้อนพวกนั้น อย่ากระโดดลงไปในจุดต่ำกว่าเพื่อปกป้องใครสักคน มีอีกหลายวิธีนอกจากใช้กำลัง...รู้ใช่มั้ย?”

“ครับ”

“ดีแล้วลูก...จริงๆพ่อก็อยากทำแบบลุกกับพ่อเด็กมันนะ เห็นเราเป็นฝรั่งจ้องจะรดจะไถ อวดรู้ไปอีก คนพวกนี้นี่จริงๆเลย”ผมยิ้มแม้มันจะเป็นยิ้มเศร้าๆในสภาพยับยินเพราะหนึ่งต่อหก แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปถึงหูหญิงยาย ผมเลยต้องย้ายโรงเรียนไปแถวๆสยามเพื่อใกล้หูใกล้ตาท่าน ผมขอโอกาสเจอพี่หมวยอีกสักครั้งเพื่อที่จะกล่าวลา แต่พี่หมวยก็เอาแต่ขังตัวเองไม่ยอมมาเจอหน้าผม


มันช่างเป็นการจากลาที่แย่ที่สุด...


เวลาผ่านไปจนผมจบการศึกษามัธยมปลาย และไปเรียนต่อปริญญาตรีที่เยอรมัน คุณแม่ก็มีน้องชื่อว่าน้องแจ็ค ท่านเลยไม่เหงานัก ชีวิตของผมที่เยอรมันพบเจอผู้คนมากหน้าหลายตา รวมทั้งเหล่าญาติที่เริ่มมาวุ่นวายกับครอบครัวของเรา สุดท้ายผมก็ถูกแนะนำให้ศึกษาดูใจกับไอริณ ลูกสาวของคุณหญิงศันสนีย์ เพื่อนของแม่ ไอริณเป็นผู้หญิงหัวสมัยใหม่และค่อนข้างฉลาด เธออ่อนกว่าผมประมาณปีหนึ่ง เป็นคนมั่นใจด้วยรูปทรัพย์และปัญญา แต่กลับไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกมีความสุขนัก บางครั้งแค่สั่งอาหารก็เหมือนสงครามที่เต็มไปด้วยการปะทะคารม ผมมองเห็นแน่นอนว่าอนาคตจะเป็นไปอย่างไร ก่อนกลับเมืองไทยผมเลยตัดสินใจยุติความสัมพันธ์กับเธอ และแน่นอนว่าริณไม่แคร์นัก

ผมจบตรีกลับมาที่ไทย นอนเล่นอยู่เดือนสองเดือน พ่อก็ให้ผมเข้าดูแลบริษัทขายของทางอินเตอร์เน็ตโดยรับของจากจีนและญี่ปุ่นมาในราคาโรงงาน แรกเริ่มผมไม่ค่อยอยู่ในออฟฟิศ ผมเบื่อ ชอบเดินดูนั่นดูนี่ พนักงานชอบบอกว่าผมแปลก เป็นลูกชายเจ้าของแล้วมากวาดใบไม้ในโรงรถ ผมเองก็เบื่อ พวกเอาแต่นินทาเจ้านาย งานไม่เดิน ไม่พัฒนา ผมเลยขึ้นตึกรอบแรก ตรวจเอกสารงานทั้งหมด แล้วก็สั่งปลดมันซะตรงนั้น นิสัยเผด็จการของผมถูกนำมาใช้อย่างเต็มที่ แต่ก็มีลิมิตและความเหมาะสม

แต่แล้วในวันหนึ่งที่ผมหาเรื่องไม่อยู่ในห้องทำงาน ผมออกมาเดินดูรอบๆออฟฟิศแล้วก็เจอคนๆหนึ่ง เป็นผู้ชายตัวเล็กๆที่ดูไม่คุ้นตาเท่าไหร่ แต่ทันทีที่เห็นดวงตาโตๆกับใบหน้าด้านข้างก็ทำเอาผมหลุดปากร้องเรียกชื่อของเขาออกไปทันที

“พี่หมวย! พี่หมวยรึเปล่า?!”เขาหันมาหาผมเหมือนตกใจอะไรสักอย่าง ดวงตากลมสวยราวกับกวางนั้นเบิกกว้าง ก่อนที่คิ้วจะขมวดลงน้อยๆ

ทำไมน่ารัก...

“ติ๋ม?”สุดท้ายเขาก็เปล่งคำพูดออกมา ทำเอาผมโคลงศีรษะหัวเราะไปเลยทีเดียว

“ติ๋มไรอะพี่ ฉายานั่นแม่ง ฮ่าๆ มาทำงานนี่เหรอ มานานรึยัง”

“ก็สองเดือนแล้ว”เขาเอ่ยห้วนๆเหมือนเดิม แต่จากสีหน้าของเขาคงเพราะกำลังสับสน

“ผมไม่รู้ก็เลยไม่ได้มาแถวนี้ เดี๋ยวผมมาหาบ่อยๆนะ”ผมบอกเขาไปแบบนั้นก่อนจะรีบสาวเท้าออกมา มันอดไม่ได้ที่จะแตะมือเข้ากับบริเวณหัวใจ เหมือนคนๆหนึ่งได้เดินกลับมากับความรู้สึกทั้งหมดมวล และผมก็รู้ว่าผมรู้สึกอะไร เพียงแต่ผมยังไม่อยากเชื่อว่าผมได้เก็บความรู้สึกเอาไว้ให้คนนี้ๆจริงหรือเปล่า

พี่หมวยเป็นคนน่ารัก ออกจะซื่อๆผิดกับตอนเด็กๆที่ทั้งดื้อและเฮี้ยวพอตัว แต่แปลกที่ความซื่อปนมึนเล็กๆนั้นยิ่งทำให้ผมอยากคุยกับเขา ผมนัดเขากินข้าวทุกเย็นจนรยะหลังๆพี่หมวยเริ่มกินแต่กับ เลยเข้าใจว่าเขาคงไม่อยากกินข้าว ผมเลยเปลี่ยนแผนชวนเขาไปกินขนมหวานร้านไกลๆ ไม่มีอะไรเป็นเหตุผลอื่นนอกจากอยากอยู่ด้วยนานๆ หนักมากเขาผมก็กลับมาติดเขาเหมือนตอนเด็กๆ เลยให้เขามาเป็นเลขา คอยช่วยทำเอกสารจัดการงานจุกจิก และเปิดรับตำแหน่งเขาเพิ่มเติมแทน คราวนี้เราสองคนเลยได้อยู่ด้วยกันมากขึ้น ผมรู้ว่าเป็นอำนาจหน้าที่ ที่ไม่ถูกต้องนัก แต่พ่อบอกว่า อำนาจในมือมีก็ใช้ ผมถึงได้ลองดู

ให้เล่าเรื่องของเขามันก็มีหลายเรื่องนะครับ ตอนที่ผมเขียนบันทึกอยู่นี้ก็อดอมยิ้มไม่ได้ คุณเชื่อไหมว่าครั้งแรกที่เขาขึ้นไปนั่งบนรถของผม เขาขึ้นไปนั่ง ถอดรองเท้าเคาะฝุ่น วางรองเท้าลงกับพื้นรถแล้วจึงปืดประตู หรือตอนที่เขาเปลี่ยนจากผ้าใบ้มาใส่นองเท้าหนังหุ้มข้อกับยกส้นที่ผมซื้อให้ (โดยอ้างว่าได้บัตรกำนัลจากลูกค้า) ท่าทางของเขาเหมือนผู้หญิงใส่ส้นสูงครั้งแรก ยืนกระโดกกระเดกอยู่กลางบันไดเลื่อน จนกลัวว่าจะหกคะเมนลง หรือตอนหัดกินกิมจิครั้งแรก ที่เขาซดน้ำกิมจิเสียงดังอยู่ในร้านอาหารญี่ปุ่นยี่ห้อภูเขาจนปากเป็นคราบ ไม่รู้สิครับ...ผมมีพี่หมวยอยู่ใกล้ๆเหมือนมีลูกชายพิกล แต่ผมชอบที่เขาเรียนรู้อะไรง่ายๆแล้วยิ้ม ผมบอกแล้วเขาเชื่อ หรือสีหน้าตื่นตาตื่นใจกับเรื่องเล็กๆน้อยๆสำหรับผม (เช่น น้ำหอมขวดละห้าพัน) ผมรู้สึกสบายใจราวกับย้อนกลับไปสู่วัยเด็กอีกครั้งที่มีเขาอยู่ใกล้ๆ

จะว่าผมนิสัยไม่ดีก็ได้นะครับ...แต่ลึกๆผมแอบดีใจที่พี่หมวยย้ายมาอยู่หอ เขาจะได้ไปไหนมาไหนกับผมได้มากขึ้น (ผมนี่แหล่ะชวน) ความทรงจำของผมถูกบันทึกด้วยรูปของพี่หมวยแต่ละวัน พี่หมวยกำลังกดลิฟต์ พี่หมวยที่ตั้งใจกดสเลอปี้ พี่หมวยที่วิ่งตามรถไอติมไผ่ทองหน้าออฟฟิศ พี่หมวยที่กินส้มตำแล้วก็นั่งร้องไห้เพราะเผ็ด มันไม่ใช่รูปสวยงามเหมือนผู้หญิงในนิตยสาร แต่พี่หมวยเป็นอะไรที่ผมจับต้องได้ ผมชอบที่พี่หมวยกินนั่นกินนี่อย่างมีความสุข ไม่ต้องอด ไม่ต้องกลัวจะอ้วน (เหมือนเขาเคยจัดอาหารคลีนมาครั้ง แล้วก็ไม่จัดมาอีก คงจะขี้เกียจ) สำหรับตัวผม พี่หมวยเป็นคนที่ทำให้ผมต้องถามคำถามโง่ๆอยู่เสมอ สบายดีไหม จะไปไหน มาแล้วเหรอ(ทั้งที่เห็นว่ามาแล้ว) กินข้าวหรือยัง กินกับอะไร ทั้งที่กับริณผมไม่เคยคิดจะถามแบบนี้...ผมแค่อยากจะคุยเท่านั้น..

จนช่วงประจวบเหมาะมาถึง ผมพาเขาไปที่พัทยา เราเปิดห้องอยู่ด้วยกัน เขาไม่มีทางรู้ว่าผมมีความสุขแค่ไหนที่เขาเอื้อมมือมากอดเอวตอนผมขี่มอเตอร์ไซค์ไปถนน ผมเองก็ไม่รู้ตัวเองนักที่เผลอยิ้มออกมาขณะมองเขาเคี้ยวกุ้งจนแก้มตุ่ย ผมไม่เคยที่จะเอ็นดูคนที่แก่กว่ามาก่อน และผมคิดว่าพี่หมวยจะเป็นคนแรกที่ทำให้ผมรู้สึกแบบนั้น ตอนที่พวกเราไปว่างน้ำในสระ ในตอนนั้นผมยิ่งรู้สึกว่าผมละสายตาไปจากพี่หมวยไม่ได้ เขาคงไม่รู้ตัวว่าผิวเนื้อของเขาเวลาเปียกน้ำมันชวนให้คนอื่นคิดมาก เวลาหยดน้ำเกาะที่ขนตาของเขา ความรู้สึกเหมือนผมกำลังมองภาพวาดจากจิตรกรเอก มันเป็นช่วงเวลาที่ดีและอึดอัดเล็กน้อยที่ต้องซ่อนความรู้สึก

และเป็นตัวผมที่เปิดเผยทุกอย่างออกไป...

รู้ไหมว่าผมอึ้งเหมือนเสียศูนย์ทันทีที่เขาพูดว่าดูกันไปก่อน พี่หมวยมีกำแพงที่ไม่ได้แข็งกร้าวมากนัก แต่ก็ทำเอาผมไปไม่เป็นทีเดียว เพราะตัวผมต่อให้ไม่คบกับใครขั้นแฟน แต่ผมไม่รุกหาใครก่อน และไม่เคยถูกปฏิเสธนิ่มๆแบบนี้ ชีวิตหนุ่มลูกครึ่งจบนอก ตระกูลผู้ดีเป็นที่มายหมาดของใครใครมานักต่อหนัก ตามเทียวไล้เทียงขื่อตามที่ทำงานหรือตามงานสังสรรค์ ผมไม่ยักจะสนใจ ผมไล่สายตาตามพี่หมวยและพบว่าอีกคนปฏิเสธแบบแบ่งรับแบ่งสู้ แต่แปลกที่ผมไม่รู้สึกว่าท้อใจเลยที่เป็นแบบนั้น

เนิ่นนาน...นานวันเข้า...ผมถึงรู้ว่าตัวเองนั้นโง่เขลา ปากเขาบอกคบกันไปก่อนแต่การกระทำนั้นไม่ใช่เท่าใด ใครไปเลียบเคียงถามผมมีอันต้องโดนสายตาจากพี่หมวยทุกทีไป เขาเป็นคนหึงไม่รู้ตัวนะครับ ปากเปล่าแต่สีหน้ามาเต็ม แค่การหึงหวงเพียงเล็กๆน้อยๆกลับรู้สึกว่าสำคัญ...

ผมจึงไม่หวั่นนักหากผมกับเขาต้องดูกันไปก่อนสักสี่สิบห้าสิบปี...


:D
คำสารภาพของพระเอก
แท็ก #คุณชุนพี่หมวย ค้าบ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น