วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2558

หมวย (Sehun x Luhan) (14)









Title: หมวย (14)
Image: SEHUN x LUHAN
Author: RUNAWAY05
  Note: เห็นว่ายังไม่พร้อม...



มันคงจะนิยายเกินไปหากว่าเราทั้งสองคนไม่มีเรื่องทะเลาะกันบ้างประสาคนอยู่ด้วยกัน เรื่องที่เราทำให้คุณชุนโมโหบ่อยๆ เท่าที่แกบ่นก็ประมาณว่าเรามีอะไรไม่ชอบบอกแก แกรู้ทีหลังตลอด แถมชอบไปไหนก็ไม่บอกแก ต้องให้ตามอยู่เรื่อยๆ ซึ่งมันเป็นนิสัยติดตัวเราไปแล้ว เวลามีอะไรเราชอบเงียบไว้ เพราะไม่รู้จะพูดกับใคร พูดไปก็ไม่มีใครช่วยได้ พูดมากไปก็กลัวจะรบกวน และเราก็ติดไปไหนมาไหนคนเดียวตั้งแต่ตอนเคว้งหลังเรียนจบก่อนมาทำงานที่นี่

ส่วนคุณชุน...เรื่องที่เราโมโหไม่ใช่ที่แกชอบบ่น หรือชอบดุเรา เราเข้าใจแกที่แกทำเพราะห่วง แต่เห็นเราหงิมๆแบบนี้ เราเหวี่ยงได้ทันทีแค่แกถอนหายใจใส่ จะบ่นเสร็จแล้วถอนหายใจใส่ หรืออยู่ดีๆก็ถอนหายใจใส่ ก็สามารถทำให้เป็นเรื่องกันได้ จนเราต้องช่วยกันหาทางออก ซึ่งคุณชุนก็ติดเป็นนิสัยของแกไปเหมือนกัน ลงท้ายเลยเป็นว่าถ้าแกอยากถอนหายใจ เราให้แกพูดคำว่าจิ๊กกิ้ว ก็เลยลดปัญหาความกินแหนงกันไปได้อยู่ เพราะแกบ่นเสร็จก็พูดว่าจิ๊กกิ้วหน้านิ่งๆ ให้เราหลุดขำกันไป

ทว่าเรื่องทะเลาะเบาะแว้งของพวกเราที่เริ่มจะหนักข้อ คงจะช่วงเดือนที่สิบเอ็ด หากการคบกันของคนสองคนมีช่วงโปรโมชั่น เราก็บอกได้ว่าเราทั้งสองนั้นหมดโปรช้ากว่าคนอื่นๆ จะว่าปัญหาเพราะคนอื่นคงไม่ใช่ ปัญหาเหล่านั้นล้วนมาจากพวกเราเอง ทั้งนิสัยเดิมๆหรือไม่ได้นึกถึงว่าอีกฝ่ายยังมีนิสัยอื่นๆที่เราไม่รู้ แต่ปัญหาหึงหวงนั้นบ่อยสุด เพราะเราเป็นคนที่หึงแล้วจะเงียบๆ แต่คุณชุนแกหึงแล้วแกแสดงออกเลยว่าแกไม่ชอบ ไม่พอใจ จนหลายครั้งเราพยายามปรามไม่ให้แกออกนอกหน้าไปมากนัก เราเกรงใจพ่อแม่คุณชุน แกก็พาลหาว่าเราไม่รักกันแล้วไปเสียอย่างนั้น ทะเลาะกันไปอีก เห็นแบบนี้เราเปิดประตูลงรถตอนรถติดก็ทำมาแล้ว เราไม่อยากทะเลาะ ทะเลาะกันแล้วมันเหนื่อย เอาแต่อารมณ์เข้าหากันก็บั่นทอนกันไปอีก โดนว่าเป็นพวกหนีปัญหาอีก สำหรับเราคนที่ทะเลาะกันแล้วปลีกตัวออกมาเงียบๆ ไม่ใช่หนีปัญหา แต่กลับมาทบทวนตัวเอง นักรบที่รบแล้วตายก็มีแต่พวกบุกดาหน้าฝ่าไม่รู้จักถอยทัพเท่านั้นแหล่ะ

ทุกครั้งที่เราทะเลาะกันหนักๆถ้าไม่ง้อด้วยวิธีดีๆ ก็จบลงด้วยเตียงทุกที (แถวๆโซฟาครั้งสองครั้ง) บางทีเราไม่เต็มใจ เราไม่โอเค คล้ายๆโดนข่มขืนพิกล (ยิ่งผู้ชายกับผู้ชายด้วยแล้ว...) ก็หนีไปนอนที่บ้านหนหนึ่ง ปรากฏว่าไม่รอด โดนรับกลับในคืนเดียวกัน ไอ้เรื่องง้อที่เตียงนี่จะโทษคุณชุนคนเดียวก็ไม่ถูก เรามันใจอ่อนเอง ไมรู้ทำไมเวลาเห็นแกตัดพ้อไปโมโหไปแล้วเราก็สงสาร เราไม่อยากทะเลาะแล้ว สุดท้ายก็เป็นฝ่ายกอดแกก่อนแล้วก็น่วมก่อนทุกที แต่บางทีหน้ามืดมาปล้ำก็ไม่ได้ผลนะ เห็นเรายอมคุณชุนขนาดนี้ ถีบแกตกเตียงก็เคย เรางอนอยู่จู่ๆก็มาปล้ำ ไม่ถามกันสักหน่อยว่างอนเรื่องอะไร ตั้งหน้าตั้งตาปล้ำอย่างเดียว ขณะนั้นลวินท์ผู้ไม่มีอารมณ์ทางเพศก็ตอกส้นเข้าให้อย่างลืมตัว มาโอ๋กันอีก หายงอนไปอีก

และเทคนิคขั้นสูงที่เราคิดเราเราไม่มีทางเอาชนะคุณสุหฤทธิ์ได้ก็คือ ต่อให้เรางอนมาจากไหน ถ้าถามไม่ตอบ คุณชุนแกงอนกลับด้วยนะเออ งอนกลับหนักกว่าเรางอนเสียอีก พลิกสถานการณ์ไปเสียอย่างนั้น เล่าให้ไอ้อี้ฟัง ไอ้อี้มันว่าบ้า งอนกันทั้งชาติผลัดกันไปกันมา ไม่ต้องคุยกันสักที ซึ่งเราว่าเราก็เห็นด้วยกับมันนะ แต่ไม่รู้จะบอกคุณชุนยังไง บอกไปก็โดนงอน...ส่วนกับพี่ป๋อ เราคุยกันไม่บ่อยนัก และส่วนใหญ่ถ้ามีโอกาสได้คุย จะออกแนวเราไปรบกวนแกเสียมากกว่า อย่างว่า..กับเจ๊จุ๋มเดี๋ยวนี้นานๆเจอกัน คนที่ให้คำปรึกษาเราก็มีพี่ป๋อมาทดแทน ส่วนคุณชุนบางทีก็ไม่อยากปรึกษา กลัวจะโดนจิ๊กกิ้วกลับมา... เพราะบางเรื่องมันก็ไม่เป็นเรื่อง

วันนี้เป็นวันหยุด หลังจากพาพ่อไปโรงพยาบาลและก็อยู่จนเกือบเย็น เราก็มีนัดกับไอ้บี๋และไอ้อิน ซึ่งเด็กห้องแถวเยาวราชได้แฟนเป็นผู้ชายทั้งสามคนอย่างไม่ได้นัดหมาย แต่ก็ได้มีการนัดมากินข้าวกันเสียที เรานั่งรถกลับมาคอนโดตอนสี่โมงเย็น อาบน้ำแต่งตัวกันง่ายๆแล้วก็ไปสยาม ไปเดินแหล่งวัยรุ่นแม้จะเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นตอนปลายกันแล้วก็ตาม เรานัดไอ้บี๋กับไอ้อินไว้ที่สยามเซ็นเตอร์ หาเดินเล่นตากแอร์อยู่พักไอ้บี๋ก็ไลน์มาบอกว่าอยู่ในร้าน วิคตอเรียซีเคร็ทอะไรนี่ล่ะ เราจำชื่อได้เพราะคุณชุนชอบนางแบบยี่ห้อนั้นอยู่ พูดแล้วก็ชักอยากจะงอน

“เฮ้ยหมวยเปล่าวะ”

ไม่ทันจะได้ไปหาไอ้บี๋ ไอ้อินก็โผล่หน้ามาก่อน เราหันไปมองก็เจอไอ้อินที่ตอนนี้เป็นชายหนุ่มตัวสูงกำยำ ผิวสีแทน ใบหน้าคมคร้ามตามฉบับเฮียเส็ง มองหน้าดำๆของมันแป๊บเดียวเราก็ไปสะดุดกับคนที่เดินตามมันมา เป็นผู้ชายตัวเล็กๆผมสีทอง ตากลมโต ริมฝีปากหนาๆ ใบหน้าดูดีทีเดียวแหล่ะแค่ไหล่ดูแคบเหมือนเด็กๆไปหน่อย

“ไงอิน ดำเหมือนเดิมเลยนะมึงอะ”

“กูดำมาแต่เกิด ห่า นี่คุณโด้แฟนกูเอง...เธอ นี่ไงหมวย เพื่อนเรา”ท้ายประโยคมันหันไปแนะนำเรากับแฟนมันเสียงอ่อนเสียงหวาน ซึ่งแฟนมันก็มองเราก่อนจะค้อมศีรษะให้ ไอ้อินเหล่มองคุณชุนเหมือนจะถามเราว่าฝรั่งนี่ใคร เราเลยแนะนำไปเบาๆ

“คุณชุน..นี่ไอ้อินจำได้มั้ยครับ...ไอ้อิน นี่ไงคุณชุนที่เราไปส่งตอนเด็กๆอะ”

“ห๊ะ? นี่นะน้องติ๋...”ไอ้อินชะงักเมื่อคุณชุนแกตวัดสายตามอง ก่อนจะส่งยิ้มให้

“สวัสดีครับ”

“อ่า...สวัสดีครับ”

“เอ้า ไปยืนอะไรกันตรงนั้น”เสียงไอ้บี๋ดังขึ้นโดยที่พวกเราก็หันไปมอง เพียงเท่านั้นเรากับคุณชุนก้รู้สึกสะดุ้งแรงเมื่อพบกับชายหนุ่มที่ถือถุงกระดาษสีชมพูลายทางตามมันมา ไม่ได้สะดุ้งที่ถุงกระดาษ แต่สะดุ้งที่ใบหน้าผู้ชายคนนั้นคลับคล้ายคลับคลาคุณนายลดาไม่มีผิด ไอ้บี๋มันคงเห็นว่าพวกเราตกตะลึงก็เลยแนะนำให้เราอย่างร่าเริง

“เฮ้ย นี่ไงแฟนกู หมอชรัณ”

“น้องบี๋ทำไมพูดไม่เพราะครับ”ผู้ชายคนนั้นปรามพลางขมวดคิ้วนิดๆ จนไอ้บี๋มันจิปากจิ๊กจักอยู่พักจึงได้พูดแนะนำอีกรอบแบบไม่เต็มใจนัก

“นี่พี่หมอชรัณ แฟนเราเอง.. พี่หมอ คนนี้ชื่อหมวย แล้วหน้าดำๆตรงนั้นชื่ออิน”

“สวัสดีครับเด็กๆ”อิพี่หมอแกเรียกพวกเราเด็กๆทั้งที่เราสามคนเข้าสู่วัยปีนเบญจเพส ไม่แน่ใจว่าแกอายุเท่าไหร่ แต่ท่าทางคำพูดคำจานี่ทำเอาคุณชุนอดไม่ได้ที่จะโน้มหน้าลงมากระซิบกับเรา

“เขาเหมือนลูกแม่กว่าผมอีกอะ”

เราจุ๊ปากใส่คุณชุน โดยที่ไอ้อินก็แนะนำแฟนมันไป  จนกระทั่งไอ้บี๋หันมาเพ่งคุณชุนอยู่พักใหญ่ จึงได้ร้องทักขึ้น

“เฮ้ยมึง อย่าบอกนะว่านี่น้องติ๋มตุ๊ดอะ”

“น้องบี๋...”พี่หมอชรัณแกปรามเสียงเย็นจนมันทำปากงุบงิบอีกรอบ

“นี่น้องชุนเหรอ พี่จำไม่ได้เลยครับ”

“สวัสดีครับพี่”

“สวัสดีครับ ป่ะ หิวแล้ว”ไอ้บี๋มันว่าพร้อมกับนำทางพวกเราไป ซึ่งคนที่พูดมากสุดคือมันกับไอ้อิน และคนที่ไม่พูดเลยคือคุณโด้ เรากับคุณชุนก็ถามตอบไปตามโอกาส ส่วนหมอชรัณเหมือนติดตั้งโปรแกรมมาให้ปรามไอ้บี๋เวลามันพูดคำหยาบโดยเฉพาะ พวกเราขึ้นไปถึงชั้นบน ไปถึงร้านบ้านหญิง ร้านโปรดไอ้บี๋มัน ไอ้อินที่แม้จะบ่นว่าอยากไปกินอาหารญี่ปุ่นมากกว่า แต่สุดท้ายก็ยอมตามไอ้บี๋ที่กุมบรรยากาศของงาน ซึ่งก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้วนะ ไอ้บี๋สายนำ ไอ้อินสายบ่น เราสายมีเรื่อง

เรายืนแกร่วกันอยู่พักกว่าจะได้ที่นั่งสำหรับหกคน สอบถามคือคุณโด้เด็กกว่าพวกเราหนึ่งปี เป็นแอร์สจ๊วตอยู่สายการบินหนึ่ง และคบกับไอ้อินมาสองปีแล้ว ไปพบรักกันกลางเครื่องบินตอนไอ้อินฮิตไปเที่ยวเกาหลี เห็นคุณโด้ไม่พูดอะไรแบบนี้ กุมชะตาชีวิตไอ้อินทุกอย่าง เพียงแค่เหยียดปากไอ้อินที่พูดมากๆก็หุบปากฉับ ส่วนไอ้บี๋กับหมอชรัณนี่เป็นแฟนกันมายี่สิบวันแล้ว เห็นไอ้บี๋บอกไม่รู้ผัวหรือพ่อ เอะอะก็ชอบดุมัน แต่เราว่าเราเข้าใจความรู้สึกไอ้บี๋อยู่ มันยังดีกว่า มีแฟนแก่กว่าคอยดูแล ส่วนเรานี่คุณชุนเด็กกว่าแถมต้องมาคอยบ่นเราอีก รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เรื่องอย่างไรก็ไม่รู้

เมื่อถึงคิวและได้ที่นั่ง เนื่องจากเราเป็นกลุ่มใหญ่และเป็นชายหนุ่มทุกคน ทำให้เรารู้สึกว่าถูกจ้องมองอย่างไรก็ไม่ทราบได้ แต่ความหิวบังตาทำเรามองข้ามเรื่องนั้นไปได้อย่างสบายๆ เราสตาร์ทด้วยข้าวไข่คนหน้าต่างๆคนละหนึ่งจาน แล้วแต่ว่าจะหน้าอะไร (เราสั่งเหมือนคุณชุนร่างทรงพ่อตามประสาลูกที่ดี นั่นคือใส่กุ้งและชีส) ตามด้วยสปาเก็ตตี้คาโบนาร่า ขนมจีนทรงเครื่อง แกงส้ม(ไอ้อินบอกคุณโด้ชอบ) แกงเขียวหวาน(พูดแล้วนึกถึงไอ้อี้ ของโปรดมัน จะกินกับข้าว กับขนมจีน ใส่มาม่าหรือกินเปล่าๆมันก็สู้หมด) ต้มยำกุ้ง ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่และผัดไทย ส้มตำทอด สั่งมาเต็มโต๊ะเพราะเป็นชายหนุ่มหกชีวิต ยิ่งไอ้บี๋เห็นตัวมันเล็กเป็นลูกหมา มันไปกินข้าวแกงกะหรี่แปดกิโลคนเดียวมาแล้ว มันบอกอยากกินสิบกิโลแต่ต้องไปทำงานต่อ ไม่รู้มันเอาไส้ไปเก็บไว้ตรงไหน

เรานั่งกินไปคุยไป จนไอ้อินและคุณชุนสนิทสนมกันเพราะคุยกันถูกคอ ส่วนคุณโด้จากที่หน้านิ่งๆก็เริ่มมียิ้ม มีพูดคุยบ้าง คุณไม่ได้อยู่ไทยบ่อย ใช้ชีวิตอยู่บนเครื่องบินเป็นส่วนใหญ่ ส่วนหมอชรัณนอกจากจะนั่งฟังพวกเราให้เราเหล่หน้าแกเพราะคล้ายคุณนายลดาเวอร์ชั่นผู้ชายแล้ว แกยังใจใหญ่เลี้ยงอาหารมื้อนี้ให้เราทุกคนด้วย ก็แน่ล่ะ ไอ้บี๋กินข้าวเป็นกิโลๆขนาดนั้น ถ้าไม่ใจใหญ่คงมาเป็นแฟนไอ้บี๋ไม่ได้ เห็นมันว่าเงินเดือนหมอชรัณเป็นแสนๆ ถ้าข้าวแกงกะหรี่แปดกิโลจ่ายให้มันไม่ได้ มันนอนกินน้ำเต้าหู้โกเล้งพ่อมันบนคานดีกว่า

ไม่รู้นะสำหรับคนอื่น นิยามของคำว่าเพื่อนสนิทเป็นอย่างไร แต่เพื่อนสนิทในความหมายเราคือเพื่อนที่แม้จะไม่ได้คุยกัน แต่แค่เกริ่นสองสามประโยคก็เข้าใจกันเหมือนคุยกันมานาน เพื่อนที่แม้จะได้ยินอะไรมามากมาย แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเชื่อใจกัน นั่นคือเพื่อน เพื่อนที่ไม่ว่าวันเวลาหรือยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน เพื่อนก็คือเพื่อน

ออกจากร้านอาหารเราก็มานั่งต่อตรงฟู้ดคอร์ทที่เราเคยมากินส้มตำข้าวโพด แต่คราวนี้พวกเราแค่ซื้อน้ำคนละแก้วและแลกเปลี่ยนข้อมูลกันไปเรื่อย คุณชุนเริ่มคุยกับหมอชรัณเกี่ยวกับเรื่องรอบๆสยาม (สงสัยอยากรู้ครอบครัวหมอแกจริงๆ) ไปพร้อมๆกับคุยเรื่องรถกระบะกับไอ้อิน ส่วนเราก็แยกมาคุยกับไอ้บี๋และคุณโด้กันสามคนเงียบๆ ทั้งเรื่องเรียน เรื่องกินเที่ยว จนไม่รู้อะไรดลใจให้เราถามคำถามหนึ่งขึ้นมา

“เคยทะเลาะกันเรื่องงี่เง่าที่สุดเรื่องไหนเหรอ?”

“ทะเลาะเหรอ?...ผมไม่ค่อยทะเลาะกับเขานะ แต่เคยมีอยู่ครั้งที่ผมดูดน้ำอัดลม เขามาขอดื่มด้วย ผมก็กลับหลอดให้ เขาก็โกรธเฉยเลย หาว่ารังเกียจปากเขา”คุณโด้ว่าเนิบๆจนเรากับไอ้บี๋เหล่มองไปทางไอ้อินที่ยังทำหน้าไม่รู้เรื่อง...เพื่อนหนอเพื่อน...

“ของกูซื้อปลาทูน่ากระป๋องผิดยี่ห้อ กูแดกซีเล็ค อิพี่หมอมันแดกนอติลุส ซื้อทีไรงอนกันทุกรอบ...มึงอะหมวย”

“คือ...ตื่นมาเขาก็โกรธอะ”

“ห๋า”ไอ้บี๋กับน้องโด้อุทานขึ้นมาเบาๆ เราก็พยักหน้าไปตามความจริงที่เราพบเจอมาเมื่อเช้า

“คุณชุนแกฝันว่านี่ไปมีแฟนใหม่ ตื่นมาแกงอนใส่ แกว่าแม้แต่ในฝันก็ยังไม่เลือกเขา”เราเล่าปุ๊บทั้งไอ้บี๋ทั้งคุณโด้ก็กุมขมับขึ้นพร้อมกัน และไอ้บี๋ก็ชวนคุยใหม่อีกหน

“เออ..ว่าแต่ แบบ...เขาไม่ทำการบ้านเลย ทำไงอะ นี่ต้องบุกเองตลอดเลยนะ กูเคยใส่ชุดแมวไปอ่อยด้วย ป๊ากูรู้ป๊ากูเป็นลมแน่”

“ไม่นะครับ คงเพราะนานๆเจอกันที ขลุกกันอยู่ทั้งวันเลยครับ”คุณโด้ตอบ เราที่อึ้งอิมกี่ไปพักหนึ่งก็ถามไอ้บี๋ให้แน่ใจ

“อ่อยเขาตอนไหน”

“ตอนยังดูๆกันอยู่ ก่อนคบ สองสามเดือนที่แล้วมั้ง กูยังซ่อนชุดไว้หลังตู้เลย ตอนม๊ามาหาเสียวชิบหาย มึงอะ โดนฟัดบ่อยอะดิ ใช่ย่อยนะแฟนมึงอะ”

“เฮ้ย เราแค่ดูๆกัน”เราแย้ง และบรรยากาศโต๊ะก็เงียบไปพักหนึ่งจนไอ้บี๋หัวเราะเหอะ และคุณโด้ก็เบ้ปากส่ายหน้าเหมือนไม่เชื่อเรา เอ้า..นี่ดูๆกันอยู่จริงๆนะ

จนสองทุ่มครึ่ง พี่หมอชรัณก็ไล่เด็กๆกลับบ้านประสาผู้ใหญ่อนามัย (แต่เหมือนแกก็แอบสนใจทริปเที่ยวปางสีดาของไอ้อินอยู่เหมือนกัน) ส่วนไอ้อินเห็นว่าจะพาคุณไปเดินทองหล่อให้เข้าถึงบรรยากาศกรุงเทพมหานคร แต่เรากับคุณชุนไม่ไหว ต้องตื่นมาทำงานตอนเช้าเลยขอตัวกลับมานอนเอาแรงดีกว่า เพราะกระแสคุณโด้ก็คงอยากเที่ยวกับแฟนสองต่อสอง เรานั่งรถออกจากสยามโดยมีคุณชุนพูดคุยไปตลอดทางอย่างมีความสุขของแก

“พี่อินชอบรถแบบผมเลยครับ ส่วนหมอชรัณนี่ผมตกใจมาก ไว้คราวหน้าจะลองถ่ายรูปไปให้แม่ดู”

“คุยสนุกจังนะครับ”เราแสร้งว่า โดยที่คุณชุนก็เอื้อมมือมาลูบผมเราเบาๆ

“ผมถามหมอเขาเรื่องรักษาพ่อพี่ด้วย เขาแนะนำโรงพยาบาลหัวใจโดยเฉพาะ ไว้คราวหน้าเดี๋ยวเราพาท่านไปกันนะ”แน่ะ...ก็น่ารักแบบนี้ไงล่ะเราถึงไม่กล้างอแงด้วยมาก

“คุณชุน”

“ครับ?”

“พี่บอกไอ้บี๋กับคุณว่าเราสองคนดูๆกันอยู่ ทำไมเขาทำหน้าแปลกๆ”เราถามแกที่มองเราเล็กน้อยก่อนจะหันไปตั้งใจขับรถบนท้องถนน เราก็อยากจะงอนแกอีกทีเรื่องที่แกไม่ยอมสบตาเราเลย แต่ก็นะ..คนขับรถอยู่ เดี๋ยวจะโดนจิ๊กกิ้วเอาเปล่าๆ

“เขาคงคิดว่าเราเป็นแฟนกันน่ะครับ แต่เราก็ไม่ใช่แฟนกันนี่เนอะ”

“...”อ่า...นี่เรายังไม่ใช่แฟนกันสินะ...เราพยักหน้าเบาเบาก่อนจะเหล่ไปทางคุณชุนที่หัวเราะเสียงดังพุ่บ

“พ่อพี่ฝากพี่กับผมขนาดนี้... เรียกเมียเถอะครับจะได้ไม่เป็นภาระชาวบ้าน”

“โธ่คุณชุน พี่บอกแล้วว่าพี่ผู้ชาย จะเป็นเมียได้ยังไง”

“เตี้ยกว่าเป็นเมีย”

“เอ้า คุณชุนพูดแบบนี้ไม่ถูกนะครับ คุณชุนสูงกว่าพี่นี่นา”

“ไหล่แคบกว่าเป็นเมีย”

“คุณชุน...”

“ก้นแฟบเป็นเมีย”

“ก้นพี่ไม่แฟบนะ!

“จิ๊กกิ้ว”คุณชุนว่า ส่วนเรากอดอกรู้สึกตึงๆอารมณ์ละ ไม่อยากจะคุยด้วย..สุดท้ายก็ทะเลาะกันเพราะเกี่ยงว่าใครจะเป็นเมีย เราว่าไม่ใช่เรื่อง จนเดินตามกันมาถึงห้อง เราเลยลองถามคุณชุนแกไปเบาๆ

“พี่ไม่อยากป็นเมียอะครับ”

“...”

“เป็นแฟนไม่ได้เหรอ?”

เรามองคุณชุนที่เหล่มองเพดานก่อนจะขำให้เราดูจนไหล่กว้างๆของแกไหวโยก คุณชุนโอบไหล่เราเข้ากอดก่อนจะพาเข้าไปในห้องพักของเราสองคน พวกเราไม่ใช่คู่รักที่สมบูรณ์แบบนัก แต่การมีอยู่ของอีกฝ่ายมันทำให้เราสองคนรู้สึกว่าสมบูรณ์ แม้ว่าจะต้องทะเลาะกันกับเรื่องหยุมหยิมก็เถอะ

บางครั้งการงอแงใส่กันก็ทำให้เราใกล้กันมากขึ้น...เหมือนที่ไอ้อี้ชอบพูดว่าทะเลาะกันมากลูกจะดก...อะไรทำนองนั้น

“เป็นคนที่ผมรักก็พอครับ”






คุณคิดว่าคืนนี้ลวินท์จะโดนสุหฤทธิ์ฟัดหรือไม่?
(คะแนนสามดาวเด็กดี)....




:D
แท็ก #คุณชุนพี่หมวย ค้าบ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น