Title: หมวย (14)
Image: SEHUN x LUHAN
Author: RUNAWAY05
Note: เห็นว่ายังไม่พร้อม...
มันคงจะนิยายเกินไปหากว่าเราทั้งสองคนไม่มีเรื่องทะเลาะกันบ้างประสาคนอยู่ด้วยกัน
เรื่องที่เราทำให้คุณชุนโมโหบ่อยๆ เท่าที่แกบ่นก็ประมาณว่าเรามีอะไรไม่ชอบบอกแก
แกรู้ทีหลังตลอด แถมชอบไปไหนก็ไม่บอกแก ต้องให้ตามอยู่เรื่อยๆ
ซึ่งมันเป็นนิสัยติดตัวเราไปแล้ว เวลามีอะไรเราชอบเงียบไว้ เพราะไม่รู้จะพูดกับใคร
พูดไปก็ไม่มีใครช่วยได้ พูดมากไปก็กลัวจะรบกวน และเราก็ติดไปไหนมาไหนคนเดียวตั้งแต่ตอนเคว้งหลังเรียนจบก่อนมาทำงานที่นี่
ส่วนคุณชุน...เรื่องที่เราโมโหไม่ใช่ที่แกชอบบ่น
หรือชอบดุเรา เราเข้าใจแกที่แกทำเพราะห่วง แต่เห็นเราหงิมๆแบบนี้
เราเหวี่ยงได้ทันทีแค่แกถอนหายใจใส่ จะบ่นเสร็จแล้วถอนหายใจใส่ หรืออยู่ดีๆก็ถอนหายใจใส่
ก็สามารถทำให้เป็นเรื่องกันได้ จนเราต้องช่วยกันหาทางออก ซึ่งคุณชุนก็ติดเป็นนิสัยของแกไปเหมือนกัน
ลงท้ายเลยเป็นว่าถ้าแกอยากถอนหายใจ เราให้แกพูดคำว่าจิ๊กกิ้ว ก็เลยลดปัญหาความกินแหนงกันไปได้อยู่
เพราะแกบ่นเสร็จก็พูดว่าจิ๊กกิ้วหน้านิ่งๆ ให้เราหลุดขำกันไป
ทว่าเรื่องทะเลาะเบาะแว้งของพวกเราที่เริ่มจะหนักข้อ
คงจะช่วงเดือนที่สิบเอ็ด หากการคบกันของคนสองคนมีช่วงโปรโมชั่น
เราก็บอกได้ว่าเราทั้งสองนั้นหมดโปรช้ากว่าคนอื่นๆ จะว่าปัญหาเพราะคนอื่นคงไม่ใช่
ปัญหาเหล่านั้นล้วนมาจากพวกเราเอง ทั้งนิสัยเดิมๆหรือไม่ได้นึกถึงว่าอีกฝ่ายยังมีนิสัยอื่นๆที่เราไม่รู้
แต่ปัญหาหึงหวงนั้นบ่อยสุด เพราะเราเป็นคนที่หึงแล้วจะเงียบๆ แต่คุณชุนแกหึงแล้วแกแสดงออกเลยว่าแกไม่ชอบ
ไม่พอใจ จนหลายครั้งเราพยายามปรามไม่ให้แกออกนอกหน้าไปมากนัก
เราเกรงใจพ่อแม่คุณชุน แกก็พาลหาว่าเราไม่รักกันแล้วไปเสียอย่างนั้น
ทะเลาะกันไปอีก เห็นแบบนี้เราเปิดประตูลงรถตอนรถติดก็ทำมาแล้ว เราไม่อยากทะเลาะ
ทะเลาะกันแล้วมันเหนื่อย เอาแต่อารมณ์เข้าหากันก็บั่นทอนกันไปอีก โดนว่าเป็นพวกหนีปัญหาอีก
สำหรับเราคนที่ทะเลาะกันแล้วปลีกตัวออกมาเงียบๆ ไม่ใช่หนีปัญหา
แต่กลับมาทบทวนตัวเอง นักรบที่รบแล้วตายก็มีแต่พวกบุกดาหน้าฝ่าไม่รู้จักถอยทัพเท่านั้นแหล่ะ
ทุกครั้งที่เราทะเลาะกันหนักๆถ้าไม่ง้อด้วยวิธีดีๆ
ก็จบลงด้วยเตียงทุกที (แถวๆโซฟาครั้งสองครั้ง) บางทีเราไม่เต็มใจ เราไม่โอเค
คล้ายๆโดนข่มขืนพิกล (ยิ่งผู้ชายกับผู้ชายด้วยแล้ว...) ก็หนีไปนอนที่บ้านหนหนึ่ง
ปรากฏว่าไม่รอด โดนรับกลับในคืนเดียวกัน ไอ้เรื่องง้อที่เตียงนี่จะโทษคุณชุนคนเดียวก็ไม่ถูก
เรามันใจอ่อนเอง ไมรู้ทำไมเวลาเห็นแกตัดพ้อไปโมโหไปแล้วเราก็สงสาร
เราไม่อยากทะเลาะแล้ว สุดท้ายก็เป็นฝ่ายกอดแกก่อนแล้วก็น่วมก่อนทุกที
แต่บางทีหน้ามืดมาปล้ำก็ไม่ได้ผลนะ เห็นเรายอมคุณชุนขนาดนี้ ถีบแกตกเตียงก็เคย
เรางอนอยู่จู่ๆก็มาปล้ำ ไม่ถามกันสักหน่อยว่างอนเรื่องอะไร
ตั้งหน้าตั้งตาปล้ำอย่างเดียว
ขณะนั้นลวินท์ผู้ไม่มีอารมณ์ทางเพศก็ตอกส้นเข้าให้อย่างลืมตัว มาโอ๋กันอีก
หายงอนไปอีก
และเทคนิคขั้นสูงที่เราคิดเราเราไม่มีทางเอาชนะคุณสุหฤทธิ์ได้ก็คือ
ต่อให้เรางอนมาจากไหน ถ้าถามไม่ตอบ คุณชุนแกงอนกลับด้วยนะเออ งอนกลับหนักกว่าเรางอนเสียอีก
พลิกสถานการณ์ไปเสียอย่างนั้น เล่าให้ไอ้อี้ฟัง ไอ้อี้มันว่าบ้า งอนกันทั้งชาติผลัดกันไปกันมา
ไม่ต้องคุยกันสักที ซึ่งเราว่าเราก็เห็นด้วยกับมันนะ แต่ไม่รู้จะบอกคุณชุนยังไง
บอกไปก็โดนงอน...ส่วนกับพี่ป๋อ เราคุยกันไม่บ่อยนัก และส่วนใหญ่ถ้ามีโอกาสได้คุย
จะออกแนวเราไปรบกวนแกเสียมากกว่า อย่างว่า..กับเจ๊จุ๋มเดี๋ยวนี้นานๆเจอกัน
คนที่ให้คำปรึกษาเราก็มีพี่ป๋อมาทดแทน ส่วนคุณชุนบางทีก็ไม่อยากปรึกษา
กลัวจะโดนจิ๊กกิ้วกลับมา... เพราะบางเรื่องมันก็ไม่เป็นเรื่อง
วันนี้เป็นวันหยุด
หลังจากพาพ่อไปโรงพยาบาลและก็อยู่จนเกือบเย็น เราก็มีนัดกับไอ้บี๋และไอ้อิน ซึ่งเด็กห้องแถวเยาวราชได้แฟนเป็นผู้ชายทั้งสามคนอย่างไม่ได้นัดหมาย
แต่ก็ได้มีการนัดมากินข้าวกันเสียที เรานั่งรถกลับมาคอนโดตอนสี่โมงเย็น
อาบน้ำแต่งตัวกันง่ายๆแล้วก็ไปสยาม
ไปเดินแหล่งวัยรุ่นแม้จะเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นตอนปลายกันแล้วก็ตาม
เรานัดไอ้บี๋กับไอ้อินไว้ที่สยามเซ็นเตอร์ หาเดินเล่นตากแอร์อยู่พักไอ้บี๋ก็ไลน์มาบอกว่าอยู่ในร้าน
วิคตอเรียซีเคร็ทอะไรนี่ล่ะ เราจำชื่อได้เพราะคุณชุนชอบนางแบบยี่ห้อนั้นอยู่
พูดแล้วก็ชักอยากจะงอน
“เฮ้ยหมวยเปล่าวะ”
ไม่ทันจะได้ไปหาไอ้บี๋ ไอ้อินก็โผล่หน้ามาก่อน
เราหันไปมองก็เจอไอ้อินที่ตอนนี้เป็นชายหนุ่มตัวสูงกำยำ ผิวสีแทน
ใบหน้าคมคร้ามตามฉบับเฮียเส็ง มองหน้าดำๆของมันแป๊บเดียวเราก็ไปสะดุดกับคนที่เดินตามมันมา
เป็นผู้ชายตัวเล็กๆผมสีทอง ตากลมโต ริมฝีปากหนาๆ ใบหน้าดูดีทีเดียวแหล่ะแค่ไหล่ดูแคบเหมือนเด็กๆไปหน่อย
“ไงอิน ดำเหมือนเดิมเลยนะมึงอะ”
“กูดำมาแต่เกิด ห่า นี่คุณโด้แฟนกูเอง...เธอ
นี่ไงหมวย เพื่อนเรา”ท้ายประโยคมันหันไปแนะนำเรากับแฟนมันเสียงอ่อนเสียงหวาน
ซึ่งแฟนมันก็มองเราก่อนจะค้อมศีรษะให้ ไอ้อินเหล่มองคุณชุนเหมือนจะถามเราว่าฝรั่งนี่ใคร
เราเลยแนะนำไปเบาๆ
“คุณชุน..นี่ไอ้อินจำได้มั้ยครับ...ไอ้อิน
นี่ไงคุณชุนที่เราไปส่งตอนเด็กๆอะ”
“ห๊ะ? นี่นะน้องติ๋...”ไอ้อินชะงักเมื่อคุณชุนแกตวัดสายตามอง
ก่อนจะส่งยิ้มให้
“สวัสดีครับ”
“อ่า...สวัสดีครับ”
“เอ้า ไปยืนอะไรกันตรงนั้น”เสียงไอ้บี๋ดังขึ้นโดยที่พวกเราก็หันไปมอง
เพียงเท่านั้นเรากับคุณชุนก้รู้สึกสะดุ้งแรงเมื่อพบกับชายหนุ่มที่ถือถุงกระดาษสีชมพูลายทางตามมันมา
ไม่ได้สะดุ้งที่ถุงกระดาษ แต่สะดุ้งที่ใบหน้าผู้ชายคนนั้นคลับคล้ายคลับคลาคุณนายลดาไม่มีผิด
ไอ้บี๋มันคงเห็นว่าพวกเราตกตะลึงก็เลยแนะนำให้เราอย่างร่าเริง
“เฮ้ย นี่ไงแฟนกู หมอชรัณ”
“น้องบี๋ทำไมพูดไม่เพราะครับ”ผู้ชายคนนั้นปรามพลางขมวดคิ้วนิดๆ
จนไอ้บี๋มันจิปากจิ๊กจักอยู่พักจึงได้พูดแนะนำอีกรอบแบบไม่เต็มใจนัก
“นี่พี่หมอชรัณ แฟนเราเอง.. พี่หมอ คนนี้ชื่อหมวย
แล้วหน้าดำๆตรงนั้นชื่ออิน”
“สวัสดีครับเด็กๆ”อิพี่หมอแกเรียกพวกเราเด็กๆทั้งที่เราสามคนเข้าสู่วัยปีนเบญจเพส
ไม่แน่ใจว่าแกอายุเท่าไหร่
แต่ท่าทางคำพูดคำจานี่ทำเอาคุณชุนอดไม่ได้ที่จะโน้มหน้าลงมากระซิบกับเรา
“เขาเหมือนลูกแม่กว่าผมอีกอะ”
เราจุ๊ปากใส่คุณชุน โดยที่ไอ้อินก็แนะนำแฟนมันไป จนกระทั่งไอ้บี๋หันมาเพ่งคุณชุนอยู่พักใหญ่ จึงได้ร้องทักขึ้น
“เฮ้ยมึง อย่าบอกนะว่านี่น้องติ๋มตุ๊ดอะ”
“น้องบี๋...”พี่หมอชรัณแกปรามเสียงเย็นจนมันทำปากงุบงิบอีกรอบ
“นี่น้องชุนเหรอ พี่จำไม่ได้เลยครับ”
“สวัสดีครับพี่”
“สวัสดีครับ ป่ะ หิวแล้ว”ไอ้บี๋มันว่าพร้อมกับนำทางพวกเราไป
ซึ่งคนที่พูดมากสุดคือมันกับไอ้อิน และคนที่ไม่พูดเลยคือคุณโด้
เรากับคุณชุนก็ถามตอบไปตามโอกาส ส่วนหมอชรัณเหมือนติดตั้งโปรแกรมมาให้ปรามไอ้บี๋เวลามันพูดคำหยาบโดยเฉพาะ
พวกเราขึ้นไปถึงชั้นบน ไปถึงร้านบ้านหญิง ร้านโปรดไอ้บี๋มัน
ไอ้อินที่แม้จะบ่นว่าอยากไปกินอาหารญี่ปุ่นมากกว่า แต่สุดท้ายก็ยอมตามไอ้บี๋ที่กุมบรรยากาศของงาน
ซึ่งก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้วนะ ไอ้บี๋สายนำ ไอ้อินสายบ่น เราสายมีเรื่อง
เรายืนแกร่วกันอยู่พักกว่าจะได้ที่นั่งสำหรับหกคน
สอบถามคือคุณโด้เด็กกว่าพวกเราหนึ่งปี เป็นแอร์สจ๊วตอยู่สายการบินหนึ่ง และคบกับไอ้อินมาสองปีแล้ว
ไปพบรักกันกลางเครื่องบินตอนไอ้อินฮิตไปเที่ยวเกาหลี เห็นคุณโด้ไม่พูดอะไรแบบนี้
กุมชะตาชีวิตไอ้อินทุกอย่าง เพียงแค่เหยียดปากไอ้อินที่พูดมากๆก็หุบปากฉับ
ส่วนไอ้บี๋กับหมอชรัณนี่เป็นแฟนกันมายี่สิบวันแล้ว เห็นไอ้บี๋บอกไม่รู้ผัวหรือพ่อ
เอะอะก็ชอบดุมัน แต่เราว่าเราเข้าใจความรู้สึกไอ้บี๋อยู่ มันยังดีกว่า
มีแฟนแก่กว่าคอยดูแล ส่วนเรานี่คุณชุนเด็กกว่าแถมต้องมาคอยบ่นเราอีก
รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เรื่องอย่างไรก็ไม่รู้
เมื่อถึงคิวและได้ที่นั่ง เนื่องจากเราเป็นกลุ่มใหญ่และเป็นชายหนุ่มทุกคน
ทำให้เรารู้สึกว่าถูกจ้องมองอย่างไรก็ไม่ทราบได้ แต่ความหิวบังตาทำเรามองข้ามเรื่องนั้นไปได้อย่างสบายๆ
เราสตาร์ทด้วยข้าวไข่คนหน้าต่างๆคนละหนึ่งจาน แล้วแต่ว่าจะหน้าอะไร
(เราสั่งเหมือนคุณชุนร่างทรงพ่อตามประสาลูกที่ดี นั่นคือใส่กุ้งและชีส)
ตามด้วยสปาเก็ตตี้คาโบนาร่า ขนมจีนทรงเครื่อง แกงส้ม(ไอ้อินบอกคุณโด้ชอบ)
แกงเขียวหวาน(พูดแล้วนึกถึงไอ้อี้ ของโปรดมัน จะกินกับข้าว กับขนมจีน
ใส่มาม่าหรือกินเปล่าๆมันก็สู้หมด) ต้มยำกุ้ง ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่และผัดไทย ส้มตำทอด
สั่งมาเต็มโต๊ะเพราะเป็นชายหนุ่มหกชีวิต ยิ่งไอ้บี๋เห็นตัวมันเล็กเป็นลูกหมา มันไปกินข้าวแกงกะหรี่แปดกิโลคนเดียวมาแล้ว
มันบอกอยากกินสิบกิโลแต่ต้องไปทำงานต่อ ไม่รู้มันเอาไส้ไปเก็บไว้ตรงไหน
เรานั่งกินไปคุยไป จนไอ้อินและคุณชุนสนิทสนมกันเพราะคุยกันถูกคอ
ส่วนคุณโด้จากที่หน้านิ่งๆก็เริ่มมียิ้ม มีพูดคุยบ้าง คุณไม่ได้อยู่ไทยบ่อย
ใช้ชีวิตอยู่บนเครื่องบินเป็นส่วนใหญ่
ส่วนหมอชรัณนอกจากจะนั่งฟังพวกเราให้เราเหล่หน้าแกเพราะคล้ายคุณนายลดาเวอร์ชั่นผู้ชายแล้ว
แกยังใจใหญ่เลี้ยงอาหารมื้อนี้ให้เราทุกคนด้วย ก็แน่ล่ะ
ไอ้บี๋กินข้าวเป็นกิโลๆขนาดนั้น ถ้าไม่ใจใหญ่คงมาเป็นแฟนไอ้บี๋ไม่ได้ เห็นมันว่าเงินเดือนหมอชรัณเป็นแสนๆ
ถ้าข้าวแกงกะหรี่แปดกิโลจ่ายให้มันไม่ได้ มันนอนกินน้ำเต้าหู้โกเล้งพ่อมันบนคานดีกว่า
ไม่รู้นะสำหรับคนอื่น
นิยามของคำว่าเพื่อนสนิทเป็นอย่างไร แต่เพื่อนสนิทในความหมายเราคือเพื่อนที่แม้จะไม่ได้คุยกัน
แต่แค่เกริ่นสองสามประโยคก็เข้าใจกันเหมือนคุยกันมานาน เพื่อนที่แม้จะได้ยินอะไรมามากมาย
แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเชื่อใจกัน นั่นคือเพื่อน
เพื่อนที่ไม่ว่าวันเวลาหรือยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน เพื่อนก็คือเพื่อน
ออกจากร้านอาหารเราก็มานั่งต่อตรงฟู้ดคอร์ทที่เราเคยมากินส้มตำข้าวโพด
แต่คราวนี้พวกเราแค่ซื้อน้ำคนละแก้วและแลกเปลี่ยนข้อมูลกันไปเรื่อย
คุณชุนเริ่มคุยกับหมอชรัณเกี่ยวกับเรื่องรอบๆสยาม
(สงสัยอยากรู้ครอบครัวหมอแกจริงๆ) ไปพร้อมๆกับคุยเรื่องรถกระบะกับไอ้อิน ส่วนเราก็แยกมาคุยกับไอ้บี๋และคุณโด้กันสามคนเงียบๆ
ทั้งเรื่องเรียน เรื่องกินเที่ยว จนไม่รู้อะไรดลใจให้เราถามคำถามหนึ่งขึ้นมา
“เคยทะเลาะกันเรื่องงี่เง่าที่สุดเรื่องไหนเหรอ?”
“ทะเลาะเหรอ?...ผมไม่ค่อยทะเลาะกับเขานะ แต่เคยมีอยู่ครั้งที่ผมดูดน้ำอัดลม
เขามาขอดื่มด้วย ผมก็กลับหลอดให้ เขาก็โกรธเฉยเลย หาว่ารังเกียจปากเขา”คุณโด้ว่าเนิบๆจนเรากับไอ้บี๋เหล่มองไปทางไอ้อินที่ยังทำหน้าไม่รู้เรื่อง...เพื่อนหนอเพื่อน...
“ของกูซื้อปลาทูน่ากระป๋องผิดยี่ห้อ กูแดกซีเล็ค
อิพี่หมอมันแดกนอติลุส ซื้อทีไรงอนกันทุกรอบ...มึงอะหมวย”
“คือ...ตื่นมาเขาก็โกรธอะ”
“ห๋า”ไอ้บี๋กับน้องโด้อุทานขึ้นมาเบาๆ
เราก็พยักหน้าไปตามความจริงที่เราพบเจอมาเมื่อเช้า
“คุณชุนแกฝันว่านี่ไปมีแฟนใหม่ ตื่นมาแกงอนใส่
แกว่าแม้แต่ในฝันก็ยังไม่เลือกเขา”เราเล่าปุ๊บทั้งไอ้บี๋ทั้งคุณโด้ก็กุมขมับขึ้นพร้อมกัน
และไอ้บี๋ก็ชวนคุยใหม่อีกหน
“เออ..ว่าแต่ แบบ...เขาไม่ทำการบ้านเลย ทำไงอะ
นี่ต้องบุกเองตลอดเลยนะ กูเคยใส่ชุดแมวไปอ่อยด้วย ป๊ากูรู้ป๊ากูเป็นลมแน่”
“ไม่นะครับ คงเพราะนานๆเจอกันที
ขลุกกันอยู่ทั้งวันเลยครับ”คุณโด้ตอบ
เราที่อึ้งอิมกี่ไปพักหนึ่งก็ถามไอ้บี๋ให้แน่ใจ
“อ่อยเขาตอนไหน”
“ตอนยังดูๆกันอยู่ ก่อนคบ สองสามเดือนที่แล้วมั้ง
กูยังซ่อนชุดไว้หลังตู้เลย ตอนม๊ามาหาเสียวชิบหาย มึงอะ โดนฟัดบ่อยอะดิ ใช่ย่อยนะแฟนมึงอะ”
“เฮ้ย เราแค่ดูๆกัน”เราแย้ง
และบรรยากาศโต๊ะก็เงียบไปพักหนึ่งจนไอ้บี๋หัวเราะเหอะ
และคุณโด้ก็เบ้ปากส่ายหน้าเหมือนไม่เชื่อเรา เอ้า..นี่ดูๆกันอยู่จริงๆนะ
จนสองทุ่มครึ่ง พี่หมอชรัณก็ไล่เด็กๆกลับบ้านประสาผู้ใหญ่อนามัย
(แต่เหมือนแกก็แอบสนใจทริปเที่ยวปางสีดาของไอ้อินอยู่เหมือนกัน)
ส่วนไอ้อินเห็นว่าจะพาคุณไปเดินทองหล่อให้เข้าถึงบรรยากาศกรุงเทพมหานคร แต่เรากับคุณชุนไม่ไหว
ต้องตื่นมาทำงานตอนเช้าเลยขอตัวกลับมานอนเอาแรงดีกว่า เพราะกระแสคุณโด้ก็คงอยากเที่ยวกับแฟนสองต่อสอง
เรานั่งรถออกจากสยามโดยมีคุณชุนพูดคุยไปตลอดทางอย่างมีความสุขของแก
“พี่อินชอบรถแบบผมเลยครับ
ส่วนหมอชรัณนี่ผมตกใจมาก ไว้คราวหน้าจะลองถ่ายรูปไปให้แม่ดู”
“คุยสนุกจังนะครับ”เราแสร้งว่า โดยที่คุณชุนก็เอื้อมมือมาลูบผมเราเบาๆ
“ผมถามหมอเขาเรื่องรักษาพ่อพี่ด้วย
เขาแนะนำโรงพยาบาลหัวใจโดยเฉพาะ ไว้คราวหน้าเดี๋ยวเราพาท่านไปกันนะ”แน่ะ...ก็น่ารักแบบนี้ไงล่ะเราถึงไม่กล้างอแงด้วยมาก
“คุณชุน”
“ครับ?”
“พี่บอกไอ้บี๋กับคุณว่าเราสองคนดูๆกันอยู่
ทำไมเขาทำหน้าแปลกๆ”เราถามแกที่มองเราเล็กน้อยก่อนจะหันไปตั้งใจขับรถบนท้องถนน
เราก็อยากจะงอนแกอีกทีเรื่องที่แกไม่ยอมสบตาเราเลย แต่ก็นะ..คนขับรถอยู่ เดี๋ยวจะโดนจิ๊กกิ้วเอาเปล่าๆ
“เขาคงคิดว่าเราเป็นแฟนกันน่ะครับ
แต่เราก็ไม่ใช่แฟนกันนี่เนอะ”
“...”อ่า...นี่เรายังไม่ใช่แฟนกันสินะ...เราพยักหน้าเบาเบาก่อนจะเหล่ไปทางคุณชุนที่หัวเราะเสียงดังพุ่บ
“พ่อพี่ฝากพี่กับผมขนาดนี้...
เรียกเมียเถอะครับจะได้ไม่เป็นภาระชาวบ้าน”
“โธ่คุณชุน พี่บอกแล้วว่าพี่ผู้ชาย
จะเป็นเมียได้ยังไง”
“เตี้ยกว่าเป็นเมีย”
“เอ้า คุณชุนพูดแบบนี้ไม่ถูกนะครับ
คุณชุนสูงกว่าพี่นี่นา”
“ไหล่แคบกว่าเป็นเมีย”
“คุณชุน...”
“ก้นแฟบเป็นเมีย”
“ก้นพี่ไม่แฟบนะ!”
“จิ๊กกิ้ว”คุณชุนว่า ส่วนเรากอดอกรู้สึกตึงๆอารมณ์ละ
ไม่อยากจะคุยด้วย..สุดท้ายก็ทะเลาะกันเพราะเกี่ยงว่าใครจะเป็นเมีย
เราว่าไม่ใช่เรื่อง จนเดินตามกันมาถึงห้อง เราเลยลองถามคุณชุนแกไปเบาๆ
“พี่ไม่อยากป็นเมียอะครับ”
“...”
“เป็นแฟนไม่ได้เหรอ?”
เรามองคุณชุนที่เหล่มองเพดานก่อนจะขำให้เราดูจนไหล่กว้างๆของแกไหวโยก
คุณชุนโอบไหล่เราเข้ากอดก่อนจะพาเข้าไปในห้องพักของเราสองคน
พวกเราไม่ใช่คู่รักที่สมบูรณ์แบบนัก
แต่การมีอยู่ของอีกฝ่ายมันทำให้เราสองคนรู้สึกว่าสมบูรณ์
แม้ว่าจะต้องทะเลาะกันกับเรื่องหยุมหยิมก็เถอะ
บางครั้งการงอแงใส่กันก็ทำให้เราใกล้กันมากขึ้น...เหมือนที่ไอ้อี้ชอบพูดว่าทะเลาะกันมากลูกจะดก...อะไรทำนองนั้น
“เป็นคนที่ผมรักก็พอครับ”
คุณคิดว่าคืนนี้ลวินท์จะโดนสุหฤทธิ์ฟัดหรือไม่?
(คะแนนสามดาวเด็กดี)....
:D
แท็ก #คุณชุนพี่หมวย ค้าบ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น