วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2558

หมวย (Sehun x Luhan) (25)









Title: หมวย (25)
Image: SEHUN x LUHAN
Author: RUNAWAY05
  Note: ทิชชู่ห้าบาท สนใจอินบ็อกซ์ค่ะ






เราทำใจอยู่นานกับวันนี้ วันที่ต้องผ่าตัด ซึ่งหมอบอกว่าประมาณบ่ายโมง ก่อนหน้านั้นวิสัญญีแพทย์ก็เข้ามาคุยกับเราเกี่ยวกับการให้ยาสลบ รวมทั้งการตรวจสภาพร่างกายว่าแพ้ยาตัวไหน มีโรคประจำตัวอื่นหรือไม่ตลอดระยะเวลาที่เรานอนที่โรงพยาบาลแห่งนี้ รวมทั้งเอกสารยินยอมเข้ารับการผ่าตัด และการดูแลตัวเองก่อนเข้ารับการผ่าตัด หมอและพยาบาลที่นี่ใจดีมาก พูดคุยน้ำเสียงนุ่มนวลทุกคน แม้เราจะแปลกใจอยู่นิดหน่อยว่าไม่มีใครส่งตัวเราไปไหน จะมีการผ่าตัดที่นี่ และหมอจะเดินทางมาเอง เราเอ่ยถามคุณชุนเกี่ยวกับเรื่องนี้จึงได้คำตอบว่า พี่หมอชรัณเป็นคนจัดการดูแลให้ ดังนั้นไม่ต้องห่วง ให้ทำใจให้สบายเข้าไว้ แล้วมันจะผ่านไปด้วยดี

เวลาตั้งแต่เช้ามือตั้งแต่เรารู้สึกตัว เราขลุกอยู่กับคุณชุนตลอด แม้จะอยากเขียนบันทึกไว้เผื่อจะจำไม่ได้ คุณชุนก็บอกว่าไม่ต้องหรอก มีแกทั้งคน ความทรงจำแกเยอะ จะให้มานั่งเขียนก่อนจะไปผ่าตัดคงไม่ใช่เรื่อง เมื่อร่างทรงพ่อออกปากมาเราก็ได้แต่เชื่อ ลองไม่เชื่อเดี๋ยวแกก็เอ็ดเอาอีก น่าอายจริงๆที่เป็นคนกลัวเวลาแกดุ คุณชุนขึ้นเสียงทีไรเราลนลานตัวสั่นทีเดียว ทั้งที่คุณชุนแกก็ไม่เข้าใจเราเหมือนกันว่าจะกลัวอะไรแกนัก เอาเป็นว่าแค่แกบ่นหมาวิ่งตัดหน้ารถเราก็กลัวอย่างกับเป็นหมาเสียเองนั่นแหล่ะ

คุณชุนยังผูกปมริบบิ้นให้ที่นิ้วนางข้างซ้ายของเรา แม้จะไม่แน่นหนามากนัก ผมของคุณชุนยาวกว่าเดิมเล็กน้อย ริมฝีปากของแกยังแต่งแต้มรอยยิ้มตลอดเวลา นอกจากพ่อกับแม่ก็มีคุณชุนที่ดูแลเรามาตลอดที่อยู่ที่นี่ แกทั้งเช็ดตัว หวีผม เช็ดหน้าเช็ดตาให้ ป้อนข้าวป้อนน้ำเหมือนเราเป็นเด็กทารก คุณชุนดูแลเราดีมาก จนเรามั่นใจในระดับหนึ่งว่าเราจะไม่มีทางลืมคุณชุนอย่างแน่นอน เราใช้สายตาจดจำทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณชุนกำลังทำ

ตอนเที่ยงๆพยาบาลก็เดินเข้ามาตรวจความดันกับชีพจร พร้อมกับบอกเราว่าอีกสักพักจะมีพยาบาลพาไปที่ห้องผ่าตัด เราพยักหน้าก่อนจะหันมามองคุณชุนที่ยังส่งยิ้มให้

“ไม่ต้องกลัวนะครับ ผมจะอยู่กับพี่นะ”

“ครับ”สักพักก็มีพยาบาลอีกคนเปิดประตูเข้ามา เธอมากับเอกสารซักถามอาการของเราของหมออีกคน คุณหมอตรวจดูศีรษะของเราซึ่งมีพยาบาลเอาอะไรไม่รู้มาทาเอาไว้ตอนสายๆ รวมทั้งสอบถามเกี่ยวกับของมีค่าอื่นเช่นเลนส์สายตา หรือต่างหูเล็กๆที่เราเฟี้ยวไปเจาะไว้สมัยเรียนอยู่ลาดกระบัง พอมาถึงริบบิ้นที่นิ้ว คุณชุนก็เอ่ยปากกับคุณหมอว่าขอไว้เอาสิ่งนี้กับเรา หลังจากคุณหมอประเมินสักครู่คงเห็นว่าไม่ใช่ของมีค่าและไม่เกี่ยวกับส่วนของการผ่าตัด ก็บอกแค่ว่าอย่ารัดแน่นจนเกินไปก็พอ

พอเราไปเข้าห้องน้ำตามคำแนะนำของพยาบาลดูแลเราพร้อมกับอธิบายความเข้าใจว่าการผ่าของเราเป็นการนอนตะแคง ต้องใช้วิธีดมยาสลบ และอธิบายเพิ่มเติมเล็กน้อยเกี่ยวกับการให้ยาระหว่างผ่าตัดจนเรียบร้อยดี เราก็ขึ้นไปนอนบนรถเข็นคนไข้ที่รออยู่ คุณชุนบอกว่าตอนนี้พ่อกับแม่กำลังมา แกเดินไปส่งเราถึงหน้าห้องผ่าตัด เรากุมมือกันไว้จนนาทีสุดท้าย และคุณชุนก็ขยับริมฝีปากเบาๆว่าแกรักเรา เราตอบกลับแกไปเบาๆด้วยคำพูดเดียวกัน แกยังส่งยิ้มให้จนลับสายตาเราไป เราถูกยกขึ้นเตียง มีผ้าเขียวๆปูคลุมขึ้นมาหา เราเริ่มกลัวขึ้นมาอีกหน ได้แต่เอานิ้วโป้งถูริบบิ้นผ้าที่นิ้วไปมา สักพักก็ถูกใครไม่รู้เอาอะไรมาครอบที่จมูก เรารู้สึกง่วงนอน อยากจะฝัน...อยากจะนอนหลับให้ทุกอย่างมันผ่านไปไวๆ


จะได้ตื่นมาพบคุณชุนอีกครั้งหนึ่ง..

เราสัญญากับตัวเองว่าถ้าตื่นมาอีกครั้ง...เราจะบอกรักคุณชุนอีกสักหน...







เราลืมตาตื่นขึ้นช้าๆ... แสงสว่างจ้านั้นทำเอาเราตาพร่าไปหมด เรามองไปรอบๆก็พบว่าตัวเองอยู่ที่ห้องพยาบาล กรากระพริบตาสองสามครั้ง ความรู้สึกมึนงงยังคงเป็นอยู่เสมอทั้งที่เราก็ตื่นแบบนี้มาหลายครั้งหลายครา...แต่ไม่ยักจะชินเสียที...

พยาบาลคนเดิมเข้ามาเช็คอาการของเรา ไม่นานนักพ่อกับแม่ของเราก็มาหา เราไม่รู้ว่าทำไมเราต้องมานอนที่นี่นานๆ พอถามแม่แม่ก็บอกว่าเพราะเราไม่สบายหนัก เราก็ไม่เข้าใจนักเพราะคิดว่าเราแข็งแรงดี เราใช้เวลาอยู่ประมาณหนึ่งเราถึงรู้ว่าเราชื่อลวินท์ ชื่อเล่นเราคือกวาง ผันมาจากกวงที่อาม่าตั้งให้ แต่ไม่รู้ทำไมทุกคนถึงชอบเรียกเราว่าหมวย แรกๆเราก็สงสัย เราถามแม่แม่ก็บอกเราชื่อกวาง แต่เดี๋ยวสักพักแม่ก็เรียกหาหมวย เราถามแม่ว่าหมวยคือใคร แม่บอกหมวยคือกวาง เราก็สงสัยอีกว่าชื่อกวางทำไมเรียกหมวย แม่บอกแม่ไม่อยากเรียกกวาง แม่อยากเรียกหมวย เพราะตอนแรกแม่อยากมีลูกสาว อยากให้ชื่อหมวย แต่เราดันเป็นผู้ชาย ต้นกำเนิดคนเรียกหมวยคือแม่ของเราเอง

เรามองพ่อของเรา...แล้วก็ได้แต่ยิ้ม พ่อของเราหุ่นดีเพราะท่านออกกำลังกายบ่อยๆ พ่อเราเป็นโรคหัวใจ แต่ก็ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องตลอดมา พ่อบอกเราว่าถ้าหายดีแล้วก็ไปออกกำลังกาย จะได้หุ่นดีเหมือนพ่อ เราได้แต่ยิ้ม แต่จริงๆเราขี้เกียจ เอ้อ...เราเห็นเพื่อนคนหนึ่งตัวขาวๆตาตี่ๆ อีกคนหน้าคมๆผิวเข้มๆ คนขาวมันชื่อไอ้บี๋ ผิวเข้มๆคือไอ้อิน เราฟังมันเล่าเรื่องสมัยเด็กก็จำได้ทีละหน่อย ไอ้อินตอนนี้ทำงานอยู่ที่บ้าน เปิดเป็นร้านเกี่ยวกับเอกสารทางกฎหมาย ส่วนไอ้บี๋เป็นหมอ พ่อมันขายน้ำเต้าหู้ แต่ตอนนี้พ่อมันตายแล้ว เราถามว่าพ่อตายได้ยังไง มันบอกว่าสงสัยมันมีแฟนเป็นผู้ชาย พ่อมันเลยเบื่อขี้หน้า แฟนมันเป็นคุณหมอหูกางๆ ชื่อหมอชรัณ จะแวะมาเยี่ยมเยียนกันได้ก็ตอนออกเวร เพราะหมอทำงานหนักทุกวัน เรามองหน้าหมอชรัณก็รู้สึกคลับคล้ายคลับคลา แต่เราคิดไม่ออก เรามองไม่ออกว่าที่คุ้นๆนี้คุ้นว่าเหมือนใคร

ส่วนคนที่มาดูแลเราทุกวันชื่อว่าพี่ป๋อ เรานั่งนึกอยู่นาน เป็นรุ่นพี่ของเพื่อนสมัยเราเรียนมหาลัย พี่ป๋อใจดีกับเรามาก คอยดูแลเราดีทุกอย่าง ทั้งเช็ดตัว หวีผม ป้อนข้าวป้อนน้ำ ทำเหมือนเราเป็นเด็กสองสามขวบ และที่มาเยี่ยมเราอีกก็มีคุณเชนทร์ ครูสอนขับรถของเรา เจ๊จุ๋ม คนนี้พี่ที่ทำงานเก่า น้องมินก็เป็นน้องที่ทำงานเก่า เราถามว่าที่ทำงานเก่าเราทำงานอะไร เจ๊จุ๋มบอกว่าเป็นบัญชี ทำอยู่ด้วยกันแล้วมีน้องมินมาเพิ่ม ตอนหลังเจ๊จุ๋มแต่งงานเลยออกมาก่อน และน้องมินก็ออกตามมาอยู่ด้วย เราเลยถามว่าแล้วตอนนี้เราออกหรือยัง ทำไมถึงออก เจ๊จุ๋มแกบอกไม่รู้เหมือนกัน เราก็เข้าใจเพราะแกออกมาก่อน จะไปรู้ได้ยังไงว่าเราออกมาเพราะอะไร...

เราพักฟื้นอยู่หลายวันก็กลับมาพักผ่อนที่บ้าน มีพี่ป๋อดูแลเป็นธุระให้เราแทบจะทุกอย่าง เรากลับมาที่บ้านที่อยู่เยาวราช บ้านเราขายพวกอะไหล่รถ และทำห้องเล็กๆสำหรับซ่อมพวกเครื่องยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ เรารู้จักกับน้าบัว น้าบัวเป็นคนดูแลบ้านให้เรา อยู่เป็นเพื่อนแม่และคอยดูแลพ่อ น้าบัวมีลูกชื่อไอ้น้องบี้ ชื่อเต็มคือบ๊อบบี้เหมือนฝรั่ง แต่ตามันเป็นขีด ฟันกระต่ายเป็นตี๋แท้ๆ น้องบี้เป็นช่างซ่อมรถที่ห้องเล็กๆเพราะใจรักกับเพื่อนๆอีกสามสี่คน ที่มาซ่อมรถด้วยกัน เรียนงานกับพ่อ ตอนเย็นๆเพื่อนน้องบี้ก็ขี่มอเตอร์ไซค์กลับบ้าน ดูเหมือนพวกเด็กอันธพาล แต่ความจริงแล้วเป็นเด็กดีและขยันเอาการเอางานมากนัก

แม่บอกว่าเรากลับมาอยู่ที่นี่ แม่จะขยายร้านซ่อมให้ พวกเด็กๆเริ่มเป็นงานกันแล้ว เรามีหน้าที่เก็บเงินออกบิลให้ลูกค้า จ่ายของ ดูของเข้า พวกเด็กๆจะได้มีงานทำ พวกน้องบี้ได้ยินก็ดีใจกันยกใหญ่ เราต่อเติมที่ว่างซึ่งเคยเป็นป่ารกๆ ต่อเติมออกมาเป็นอู่แบบเต็มตัว ซึ่งพี่ป๋อก็คอยช่วยเหลือเรื่องอิฐหินปูนทราย ให้ช่างเฉพาะจัดการ ส่วนเล็กๆน้อยๆพวกเด็กๆก็มาจัดการกันเอง เห็นเด็กๆมีไฟเราก็อดยิ้มไม่ได้

ไม่นาน... อู่ใหม่ก็เสร็จเรียบร้อย เราซื้อชั้นวาง ตกแต่งภายในอย่างชินมือ จึงได้รู้ว่าเราเรียนจบอะไรมา ราคาค่าซ่อมเรากับพ่อช่วยกันคิด แกะแบบ เด็กคนไหนมือบอนชอบพ่นกำแพงเราก็ให้มาพ่นป้ายแทน ช่วยกันทำงาน ค่าซ่อมเราคิดไม่แพงมากนัก ตามกำลังความเหมาะสม ส่วนพวกสูบลมเป็นบริการฟรี พอเปิดอู่ไปได้สักพักกิจการนี้ก็เริ่มเป็นไปได้ด้วยดี นอกจากฝีมือเด็กๆจะพัฒนาจนพ่อเราออกปากชมแล้ว บริการก็ดีมาก แม่กับน้าบัวคอยทำน้ำหวานของว่างมาต้อนรับแขกที่รอซ่อมรถแบบไม่คิดเงิน ทำให้มีลูกค้ามาใช้บริการบ่อยๆ และมีเด็กๆมาขอทำงานด้วย พอคนมากก็มีปัญหามาก ชกต่อยกันก็มี เราก็มีวิธีจัดการแบบเรา บางครั้งเราคิดไม่ทันด้วยซ้ำ แต่การกระทำเราไปแล้ว เหมือนเราคุ้นว่าเคยมีคนๆหนึ่งจัดการกับลูกน้องแบบนี้

“พี่ป๋อมาหาพี่ตลอดเลย เขาจีบพี่ป้ะ”ไอ้น้องบี้ถามเราพร้อมกับแกะกินไก่ทอดสามอักษรที่พี่ป๋อแกซื้อมาฝาก เราได้แต่กะพริบตาก่อนจะส่ายหน้ากลับ

“จีบเจิบอะไรล่ะ พี่ผู้ชายนะ”

“โลกไปถึงไหนแล้วพี่หมวย เขาดีกับพี่ก็คบๆกันไปเหอะน่ะ”น้องบี้ว่าพร้อมกับเสียงเรียกดังมากจากหน้าอู่

“ไอ้เหยิน มาเติมลมจักรยานให้เราหน่อย”

“มึงจะพูดดีๆกับกูไม่เป็นใช้มั้ยไอ้คิ้วหนา”น้องบี้มันว่าแต่ก็เดินอาดๆไปเติมลมให้น้องเครื่องบิน ชื่อน้องแปลกแต่น้องหน้าตาดี ความแปลกเลยไม่มีผลกับน้อง บ้านน้องเพิ่งมาย้ายมาอยู่ใหม่ไม่ไกลนัก เป็นเด็กกางเกงน้ำเงินที่คอยเรียกน้องบี้ว่าไอ้เหยินเหมือนไม่ชอบหน้า แต่ก็อยู่ติดน้องบี้มันตลอด เหมือนกับใครสักคน...

สักคนที่เราจำไม่ได้...



ให้พูดตามตรงระยะเวลาสามปีที่ผ่านมาหลังจากเราผ่าตัด แม้จะรู้สึกเหมือนชีวิตปกติแต่ลึกๆแล้วเรารู้สึกเหมือนมีอะไรหายไปเสมอ... เราไม่รู้ว่าคืออะไรในเมือทุกคนก็มาหาเราครบหมด จนเจ๊จุ๋มมีลูกแล้วชื่อน้องแจ๋ม คุณเชนทร์กับน้องมินก็แต่งงานไปเมื่อเดือนก่อน ส่วนพี่ป๋อนั้นเรายังมองแกเป็นพี่ชายเสมอ จนแกไปคบผู้หญิงสวยๆอยู่หลายคน จนมาตกลงปลงใจคบกับหมอแกะ หมอแกะเป็นเภสัชกรที่คอยจ่ายยาให้พ่อของเรา เป็นผู้ชายหล่อเหลาหน้าตาดี สาวจีบอยู่หลายคน แต่ไม่ยักจะมีใคร ไม่รู้ว่าโดนของอะไรจากพี่ป๋อหรือเปล่าถึงได้ตกลงปลงใจคบกัน

ชีวิตของเรายังดำเนินไปเรื่อยๆโดยที่รู้สึกเหมือนกับว่าบางครั้งมันเติมไม่เต็ม เราเคยถามคนอื่นกับความรู้สึกนี้ ทุกคนก็ตอบว่าเพราะเราเป็นโสด เราไม่มีแฟน แต่ลึกๆในใจเรายังไม่อยากมีใคร เรารู้สึกปวดหัวนิดๆเวลาเห็นข้าวตังหน้าตั้ง อ่านเว็บแล้วเจอรีวิวเที่ยวเชียงคาน เห็นรูปทะเล แต่ไม่มีใครให้คำตอบเราได้ว่าทำไมปวดหัว เรารู้สึกใจหวิวๆเวลาขับรถจนขับรถเองไม่ได้ เรารู้สึกหนาวในใจแปลกๆทุกครั้งที่เดินทางด้วยรถไฟฟ้าหรือรถไฟใต้ดิน จนต้องหนีมานั่งรถเมล์และแท็กซี่แทน ช่างเป็นความรู้สึกที่พูดยากและลำบาก

“ลวินท์...ลวินท์รึเปล่า?”

“?”เราหันหลังไปมองหญิงสาวคนหนึ่งที่เดินมาทักเราขณะที่เรายังเดินไปเรื่อยๆแถวอโศก ไม่รู้ทำไมเราถึงชอบมาดินแถวนี้บ่อยๆเหมือนกัน เราหันไปมองเธอ ผู้หญิงคนนี้เป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวย เธอมากับชายคนหนึ่งก่อนจะพินิจพิจารณาใบหน้าของเรา

“จำฉันไมได้เหรอ?”

“ขอโทษครับ...ผมผ่าตัดสมองเมื่อสามปีที่แล้ว เลยจำคนได้ไม่หมดเท่าไหร่”คิ้วของเธอคลายตัวลง ก่อนจะเอ่ยปากกับเราอย่างนุ่มนวล

“ฉันชื่อไอริณ...เรียกคุณริณก็ได้ เป็นเจ้านายเก่าของเธอ”

“สวัสดีครับ”เราตอบรับโดยที่เธอก็ถามต่อ

“มาธุระหรือเปล่า ถ้าอย่างนั้นฉันจะได้ไม่กวน”

“ไม่ครับ ผม..คุ้นเลยมาเดินดู”คุณริณทอดสายตามองเราพลันผ่อนลมหายใจออกมาน้อยๆ

“ไม่มีใครบอกเธอเลยเหรอ?”

“ครับ?”เราเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ โดยที่คุณริณก็ระบายยิ้มออกมาเล็กน้อย

“มีเวลานั่งคุยกับฉันสักพักไหม?”



เราตามคุณริณมาที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ซึ่งกาแฟก็อยู่ในช่วงราคาร้อยสองร้อยซึ่งนับว่าแพง แต่คุณริณบอกให้เราสั่งได้ตามปกติ เธอจะเลี้ยง แม้เราจะเกรงใจ แต่ที่ท่าทีไมตรีของเธอก็ทำเอาเราพูดไม่ออก เรานั่งกันอยู่พักหนึ่ง คุณริณก็เอ่ยปากขึ้น

“ที่จริงมีคนฝากของไว้ให้เธอ... แต่ฉันก็หาเวลาไปเจอเธอไมได้สักที ดีใจที่เราเจอกันที่นี่ ฉันกำลังให้เลขาของฉันไปเอามาอยู่”

“ของผมเหรอครับ..”เราทวนเบาๆ

“เธอรู้สึกเหมือนมีอะไรหายไปรึเปล่า? สามปีมานี้เธอรู้สึกมั้ยว่าเหมือนมีอะไรขาดไป”คุณริณมองหน้าเรา “มองหน้าฉันสิ...ฉันเคยตบตีเธอเพราะผู้ชายคนหนึ่งเลยนะ”

“คุณเหรอครับ?”เราว่า ก่อนจะส่ายหน้า “คุณไม่น่า...”

“จริงๆ ...เพราะเขาเคยหมั้นหมายจะแต่งกับฉัน แต่ดูใจกันอยู่พักหนึ่งเราก็รู้ตัวว่าไม่ใช่ จนเขาไปรักกับเธอ ฉันก็รู้สึกเหมือนตัวเองแพ้ ตอนนั้นฉันแพ่งจะเอาเขากลับมาเป็นของตัวให้ได้ คิดแล้วก็น่าขายหน้า”คุณริณเอนหลังกับเก้าอี้ ก่อนจะพูดคำๆหนึ่งที่ทำให้เราหยุดชะงัก “คุณชุน”

“...”

“ชื่อของเขาน่ะ...ตอนที่เธอทำงานเธอก็เรียกเขาแบบนี้ แต่ตอนนั้นที่ฉันหมันไส้คงเป็นสายตาที่มองกันละมั้ง”เธอยกกาแฟขึ้นจิบ เราโคลงหัวอยู่สักพัก จู่ๆหัวใจก็เต้นแรงอย่างไม่มีเหตุผล แต่ที่เราทำได้กลับเป็นการเอ่ยปากถามเบาๆขึ้นมา

“เขาไปไหนเหรอครับ?”

“...”คุณริณมองหน้าเรา ก่อนจะผ่อนลมหายใจ “ตอนนั้น...”

“?”

“เท่าที่ฉันรู้ เธอกับเขาจะแต่งกัน เป็นงานเล็กๆล่ะนะเพราะสังคมยังไม่ยอมรับมากเท่าไหร่ แต่ก่อนที่จะมีงาน เธอก็ป่วยเสียก่อน ที่แม่ฉันเล่าเธอเป็นเนื้องอกในสมอง”

เรากะพริบตาช้าๆฟังคุณริณพูดต่อไป...

“แต่ในตอนนั้นไม่มีที่ไหนรับผู้ป่วยเลย ทุกที่ไม่มีคิวว่าง พี่ชุนร้อนใจพยายามทำทุกทางเพื่อรักษาเธอ ทั้งจะส่งไปเมืองนอก ทั้งหลายๆอย่าง แต่เพราะเขามาจากตระกูลผู้ดี ... ทางญาติผู้ใหญ่เลยไม่เห็นด้วยที่เขาจะวิ่งเต้นทุกอย่างให้เธอ พ่อแม่พี่ชุนก็ไม่อยากมีปัญหากับทางญาติ จนสุดท้าย...พี่ชุนก็ต้องยอมรับข้อเสนอของญาติผู้ใหญ่ ว่าต้องแต่งงานกับผู้หญิงตระกูลดังที่ทางญาติหาให้ แลกกับทีมหมอจากต่างประเทศมาผ่าตัดให้เธอ ซึ่งค่าใช้จ่ายสูงมาก แต่ทางฝ่ายญาติเขาก็รักษาสัญญา ว่าจ่ายค่ารักษาให้เธอทั้งหมด แต่แลกกับไม่ให้คนรอบตัวของเธอพูดหรือเล่าอะไรเกี่ยวกับพี่ชุนอีก”

“...”เรากลืนน้ำลายอึกใหญ่ รู้สึกลำคอตีบตันอย่างบอกไม่ถูก จนคุณริณยิ้มออกมานิดๆ

“ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ฉันหรอก... ทางญาติของเขาบังคับว่าให้บ้านเธอส่งของทุกอย่างเกี่ยวกับเธอและพี่ชุนไปให้หมด แต่พี่ชุนก็ฝากส่วนที่พี่ชุนมีไว้ให้กับฉันในวันที่เขาแต่งงาน เขาจะต้องไปอยู่แคนาดา เขาบอกว่าหากมีโอกาส...สักวัน ให้ฉันมอบมันให้กับเธอ ฉันเองไม่รู้จะทำยังไง เลยได้แต่เก็บมันไว้ จนเรามีโอกาสเจอกัน”

“ทำไม...”น้ำตาเราหยดไหลอย่างไม่รู้ตัว เราได้แต่มองคุณริณที่หันไปรับกล่องมาจากเลขาก่อนจะวางไว้ให้

“นี่เป็นของเธอ...ลวินท์ ถือว่าฉันไถ่โทษที่ทำเรื่องเลวร้ายกับเธอไว้”

เรามองกล่องลายไม้ตรงหน้า โดยที่พูดคุยกับคุณริณสักพักพวกเราก็แยกจากกัน เราใช้กระดาษจากร้านกาแฟเช็ดหยดน้ำบนใบหน้าและเรียกแท็กซี่กลับบ้าน ทันทีที่บอกปลายทางเราก็เปิดกล่องที่คุณริณให้มาออก ในนั้นมีกำไลเงินวงหนึ่ง ริบบิ้นผ้าสีแดงเส้นหนึ่งและรูปถ่ายอีกหลายใบในอัลบั้มที่ถูกจัดเก็บไว้อย่างเรียบร้อย ด้านบนถูกวางด้วยเครื่องเล่นเพลงอันเล็กกับหูฟังซึ่งติดโพสต์อิทลายมือหวัดๆว่า กลางวันตื่น-กลางคืนฝัน เรารู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ได้แต่เสียบหูฟังพร้อมกับกดเล่น เราหยิบรูปภาพขึ้นมาดู แม้จะไม่ได้ร้อยเรียงตามช่วงเวลา แต่กลับทำให้เราค่อยๆปัดฝุ่นความทรงจำที่มองไม่เห็นนั้นให้ชัดเจนขึ้น เราเริ่มนึกถึงเด็กคนหนึ่งที่เกาะขาตามแม่เรามาตอนเรายังเด็กๆ และกลับมาเจอกันอีกครั้งในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง..ซึ่งเขาได้ทำตามคำสัญญาว่าจะปกป้องเราอย่างถึงที่สุด สัญญาว่าจะทำให้เราจำได้ และเป็นผู้ชายที่บอกว่ารักเราจนวินาทีสุดท้าย



ผู้ชายคนนั้น...ชื่อชุน...

เราซบหน้ากับประตูรถร้องไห้อย่างไม่อายสายตาโชเฟอร์แท็กซี่ที่มองมา...
พร้อมกับเพลงรักเพลงนั้นที่ยังทิ่มแทงหัวใจเราไม่ยอมหยุด...



แม้ตอนกลางวันที่ฉันตื่น
หรือตอนกลางคืนที่ฉันหลับอยู่
ก็ยังรู้ตัวดีว่าฉันนั้นฝันถึงใคร
แม้คนมากมายให้พบให้เจอ
ฉันมีแต่เธอในหัวใจ
จากวันนี้ไปจนเมื่อไรก็ยังรักเธอ

จากวันนี้จนวันสุดท้ายก็ยังรักเธอ



;(
แท็ก #คุณชุนพี่หมวย คับ
อีกสองตอนจบแล้วจ้า + สเปอีกสามตอนนะ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น