วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2558

หมวย (Sehun x Luhan) (16)












Title: หมวย (16)
Image: SEHUN x LUHAN
Author: RUNAWAY05
  Note:สาธุ




ไม่รู้ว่ากี่วันกี่เดือนที่ผ่านพ้นไปกับการที่เราใช้ชีวิตอยู่สี่ที่ นั่นคือกลับบ้านไปดูแลพ่อแม่วันอาทิตย์ จันทร์ถึงศุกร์ก็ก็วนเวียนไปทำความสะอาดคอนโดและหอ ส่วนที่เหลือก็คอยมาดูแลคุณชุนอยู่ที่โรงพยาบาล รับมือคนมากมายที่แวะเข้ามาเยี่ยมคุณชุน ทั้งรู้จักบ้างไม่รู้จักบ้าง โดยเฉพาะคุณริณที่มาวีนมาแว้ดได้ทุกวัน ยิ่งเพื่อนฝั่งคุณชุนคนอื่นๆเรายิ่งไม่รู้จัก แต่หากฝั่งเรา ทั้งพ่อแม่เรา หมอชรัณกับไอ้บี๋ (ที่คุณนายลดาแกเคยหลุดร้องตาเถรเมื่อเจอหน้า ไม่รู้สอบประวัติเชื้อสายกันไปถึงไหน) ไอ้อินกับคุณโด้ที่แวะมาหาก่อนจะไปขึ้นเครื่อง คุณเชนทร์ น้องมิน เจ๊จุ๋มกับคุณเต๋าสามีแก และไอ้อี้ที่พาพ่อเลี้ยงจุ่นมากรุงเทพเพื่อเยี่ยมคุณชุนโดยเฉพาะ หรือแม้แต่พี่ป๋อก็ยังเอาดอกไม้กับรังนกมาเยี่ยม  แกบอกอยากเยี่ยมแม้จะโดนเกลียดเอาก็ตามที แม้จะไม่ได้ถามสาเหตุที่แกดึงเราไปจูบจนโดนคุณชุนซัดเอา ทว่าความดีที่แกทำกับเราไว้ก็ทำเอาเราต่อว่าแกไม่ลง

ตอนที่คุณชุนแกได้สติ แกไม่ได้ขยับนิ้วสักนิดให้เรารู้ตัวเหมือนในละคร แกลืมตามองเราตั้งนานสองนานเพราะเราฟุบหลับอยู่ข้างแก ช่วงนั้นเราร้องไห้ง่ายมากนัก แค่พยาบาลเอาทิงเจอร์ฯล้างแผลให้คุณชุนเราก็น้ำตารื้นแล้ว ยิ่งแกมาลืมตามองก็ร้องไห้ร้องห่มจนเกรงว่าคุณชุนแกจะลุกมาจิ๊กกิ้วเอา เราจำได้ว่าตอนนั้นเราละล่ำละลักพูดกับแกทั้งน้ำตา

“คุณชุน! ฟื้นแล้ว!..เดี๋ยวพี่..พี่..พยาบาล เรียกพยาบาลก่อน!..”

“...”แกนอนมองนิ่งๆดูเรากระวีกระวาดวุ่นวายไปหมด จนหมอชรัณเข้ามาดูอาการและให้ยาจนคุณชุนหลับไปอีกครั้ง เราจึงได้โทรไปแจ้งคุณนายลดาว่าลูกชายแกรู้สึกตัว และท่านก็รับปากว่าจะมาดูอาการช่วงเย็น เราเฝ้าดูอาการคุณชุน แม้จะรู้ว่าดีขึ้น แต่สิ่งที่เรากลัวคือกลัวว่าแกจะลืมเราเหมือนในละคร หากเป็นอย่างนั้นเราคงอยู่ไม่ไหวจริงๆ เราทั้งดีใจ คิดมาก สับสนไปหมดจนกระทั่งเจ้าสัวกับคุณนายแกมาดูอาการของคุณชุนอีกรอบหนึ่ง

หลังจากวันนั้นอาการของคุณชุนก็ดีขึ้นตามลำดับ พร้อมกับทางผู้หลักผู้ใหญ่เครือญาติครอบครัวคุณชุนก็เร่งรัด อยากให้คุณชุนแต่งงานกับคุณริณ หรือไม่ก็หมั้นหมายให้เป็นทางการ เพราะอีกสองสามเดือนคุณริณจะต้องไปเรียนต่อป.โทที่เมืองนอก ตอนนั้นเราใจเสียเลยทีเดียว ถ้ามาบังคับจะหมั้นจะแต่งกันแบบนี้ทำไมทั้งคู่ถึงได้เลิกกันก็ไม่ทราบได้ แต่หลังจากที่ปรึกษาเรื่องนี้กับไอ้อี้ มันก็ออกความเห็นว่าที่คุณชุนเลิกรากับคุณริณ แกก็คงจะพยายามที่จะรักจะชอบตามที่ผู้ใหญ่จัดหาให้ แต่ไม่ใช่จึงได้ไปคนละทาง จนคุณชุนมาพบเราอีก คุณริณจึงได้ออกอาการหวงก้างไปเสียอย่างนั้น

ระหว่างที่เราหวั่นใจว่าคุณชุนจะถูกจับแต่งงานทั้งที่แกยังไม่ทันได้ปรับความเข้าใจกับเราก่อน เจ้าสัวสมคิดก็งัดไม้ตายออกมาว่าจะให้คุณชุนบวช ตอนนั้นทุกคนนิ่งอึ้งไปหมดแม้แต่เราเอง แต่คุณนายลดาก็แกให้เหตุผลว่าไปดูดวง ดวงลูกชายแกไม่ค่อยจะดีนัก เกรงว่าถ้ารีบออกเหย้าออกเรือนจะทำให้คุณริณชะตาตกไปด้วยกันเสียมากกว่า อีกอย่าง คุณชุนเพิ่งพ้นเคราะห์มาได้ ก็อยากจะให้บวชเรียนเสียสักหน่อย อย่างน้อยแม้จะไม่ได้เกณฑ์ทหารเพราะจับได้ใบดำ แต่เรื่องบวชนี่คงไม่ต้องจับใบอะไร บวชเสียสักครั้งให้เจ้าสัวกับคุณนายได้เกาะชายผ้าเหลืองเสียบ้าง พอทั้งสองออกปากพวกญาติผู้ใหญ่ฝั่งนั้นก็ทำอะไรไม่ได้ ประสาคนเชื่อเรื่องดวงเรื่องกรรม ลงท้ายคือคุณชุนเลยต้องบวชหลังจากออกโรงพยาบาลได้สักระยะหนึ่ง

เราตัดสินใจออกจากงาน เพราะยังไงเสียเราก็อยู่สู้หน้าใครที่ออฟฟิศไม่ได้อีก ยังดีที่มีเงินเก็บสำรองช่วยในยามยาก พ่อแม่เราก็เข้าใจที่เราตัดสินใจออกมา แม้เราจะเศร้าไปไม่น้อยที่รู้สึกเหมือนทิ้งน้องมินเอาไว้กับบริษัท แต่น้องมินก็ยังเข้าใจเราอยู่เสมอ เราออกมาอยู่ที่หอ ไปเยี่ยมและดูแลคุณชุนอยู่เหมือนเดิม คุณนายลดาเห็นเราตัดสินใจแบบนั้นแกว่าจะเจียดเงินเป็นค่าดูแลคุณชุนให้ แต่เราปฏิเสธไปเพราะเราก็ไม่ได้ขัดสนอะไรมากนัก

“ไว้ผมกลับไปที่ออฟฟิศ พี่ค่อยกลับไปทำงานเหมือนเดิมก็ได้”คุณชุนบอกเราขณะที่แกกำลังอ่านหนังสือศีลพระและบทบวชนาคพักผ่อนอยู่ เราส่ายหน้าให้แกยิ้มๆก่อนจะพูดขึ้น

“ก่อนพี่จะออกมาทำงานที่นี่ พี่ก็เข้ากับคนสอพลอไม่ค่อยได้อยู่แล้ว ไม่เป็นไรหรอกครับ”

“ขอโทษนะครับ...”แกว่าเบาๆ “ผมไม่รู้เรื่องที่ริณไปหาเรื่องพี่จริงๆ ผมกลับมาก็มีแต่คนมุงกัน ไม่เห็นพี่ ถามคนแถวนั้นก็ว่าพี่ขึ้นไปชั้นบน... ผมไม่น่าพูดจาแบบนั้นเลย ผมบอกพี่เองแท้ๆว่าเราอย่าปล่อยกัน”

“...”

“เฮ้อ...พอเอาแต่อารมณ์ก็ดันทุรังไปหมด ทั้งที่เหตุผลดีๆทางดีๆอยู่ตรงหน้า...อยากจะไปทางลำบาก...เลยต้องมาเจ็บแบบนี้ ลำบากพี่ด้วย”เราเอื้อมมือไปกุมมือคุณชุนเอาไว้อีกครั้งแล้วจึงได้สั่นหน้าเบาเบาไปให้แก

“ถ้าพี่เปิดประตูห้อง...ถ้าพี่ไม่เอาแต่ทิฐิก็ไม่เป็นแบบนี้ บทเรียนมันแพงเหลือเกินคุณชุน พี่ไม่อยากพูดถึงมันอีก มันผ่านไปแล้ว..ปล่อยไปแล้วเราก็จับกันใหม่ได้ ถ้าเราอยากจับ”

“ครับ”คุณชุนรับคำพร้อมกับเอื้อมมือมากุมมือเราไว้ดังเก่า “แล้วพอจะหายก็บวชอีก... คราวนี้แหล่ะผมจำจนตายเลย จะไม่ทะเลาะกับพี่อีกแล้ว เจ็บตัวแล้วยังกอดพี่ไม่ได้ไปหลายเดือน พี่หมวยต้องมาใส่บาตรให้ผมทุกวันนะ”

“พี่จะใส่กานาฉ่ายให้ครับ”เราส่งยิ้มไปหาแก ความรู้สึกของพวกเรากลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง แต่สถานะและอะไรบางอย่างกลับไม่เป็นดังเก่าก็ตาม เราตัดสินใจทิ้งความรู้สึกที่คุณชุนดึงมือเราออกไปทันทีที่แกใช้หัวแม่มือลูบหลังมือเราเบาๆกลับมา เราตัดสินใจแล้วว่าเราจะมีสติ พวกเราไม่ใช่วัยรุ่นที่ดึงดันจะรักให้ได้ เราอยากจะรักให้เป็นให้สมกับที่รักใครสักคนหนึ่งได้

เมื่อคุณชุนออกจากโรงพยาบาลและเริ่มแข็งแรงขึ้น ก็ได้เวลาเหมาะสมสำหรับการบวช ซึ่งก่อนจะถึงวันงานเรากับคุณชุนก็ใช้ชีวิตกันตามปกติที่คอนโดเหมือนเดิม แต่ช่วงที่คุณชุนบวช เราจะกลับมานอนหอ เราไม่อยากให้ใครครหาว่าเราหวังอยู่สบาย ซึ่งคุณชุนก็เข้าใจตรงนี้ เลยตกลงว่าเราจะกลับมาทำความสะอาดทุกวันอาทิตย์ ส่วนเรื่องงานไอ้อี้กับพี่ป๋อก็ช่วยเป็นธุระให้ ได้ออกแบบเล็กๆน้อยๆบ้าง แม้คุณชุนจะยังดูไม่ชอบใจนักที่พี่ป๋อยังมีส่วนร่วมกับชีวิตเรา แต่แกบอกแกจะพยายามไม่ใส่ใจ แกไม่อยากเสียเราไปอีก

อาจจะมีคนหลายคนที่คบกันจนเห็นกันและกันในยามเจ็บไข้ แต่เราไม่คิดเลยว่าชีวิตของลวินท์จะได้คบกับใครคนหนึ่งได้นานมากพอจนเห็นอีกคนบวช คิดแล้วก็ตลกเหลือเกิน เราไม่ได้บวชหรอกเพราะบ้านเรามันไทยปลอม พยายามจะไทย แต่ก็เนียนไม่ได้บวชร่ำบวชเรียนอะไร พ่อแม่เราไม่ได้ถือเรื่องเกาะชายผ้าเหลืองลูก พ่อแม่เรากลัวแค่ไม่มีพวกแกแล้วเราจะลำบาก

เมื่อได้ฤกษ์งามยามดี ทางบ้านคุณชุนก็จัดงานปลงผมและทำขวัญนาค นั่นคือการขลิบผมของนาคใส่ลงใบบัวหรือใบตอง ซึ่งมีพระอาจารย์ที่ครอบครัวคุณชุนเคารพนับถือเป็นผู้ขลิบผมให้ก่อน ตามด้วยเจ้าสัวและคุณนายลดาก็เอากรรไกรที่ทางวัดเตรียมไว้ให้ค่อยๆขลิบเส้นผมสีทองของคุณชุนที่นั่งพนมมือกับใบบัว พ่อแม่ของเราก็มีส่วนในครั้งนี้ด้วย เพราะเจ้าสัวเป็นคนเชิญมาโดยเฉพาะ จนเราได้เป็นคนขลิบผมคุณชุนคนสุดท้าย.. ตอนนั้นเรารู้สึกเหมือนเรากำลังมองลูกชายตัวเองบวช เราไม่รู้สึกเสียอกเสียดายที่จะไม่ได้อยู่ด้วยกันระยะเวลาหนึ่ง เรายินดีด้วยซ้ำที่คุณชุนจะได้ศึกษาทางธรรม น้ำตาเราคลออีกครั้งเมื่อการปลงผมเรียบร้อยดี ศีรษะคุณชุนไม่มีเส้นผมสีทองนุ่มนวลอยู่บนนั้นอีกแล้ว... หลังจากนั้นคุณชุนก็ทำการลาญาติผู้ใหญ่ตามพิธี

จนถึงส่วนทำขวัญนาค หมอทำขวัญนาคก็จะอ่านคำทำขวัญนาคไปตามทำนอง เนื้อความก็อธิบายถึงชีวิตมนุษย์ตั้งแต่เริ่มเป็นตัว และพ่อแม่ได้ บำรุงเลี้ยงมาด้วยความยากจนเติบใหญ่ ก็ด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะได้เห็นลูกเป็นคนดี และบัดนี้ก็เป็นที่สมประสงค์ที่เจ้านาคจะอุปสมบทใน พระพุทธศาสนา จึงเป็นการสมควรยิ่งที่เจ้านาคจะพึงรักษาความดีอันเป็นมงคลนี้ ไว้แก่ตนต่อไป พออ่านบททำขวัญนาคจบแล้ว พราหมณ์ก็ตั้งต้นทำพิธีสมโภชน้ำสังข์จุณเจิม เวียนเทียน และจัดงานเล็กๆน้อยๆ แม้จะเป็นครอบครัวผู้ดีมีกิจการ แต่เจ้าสัวและคุณนายลดาแกเห็นพ้องต้องกันว่าสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ

พอรุ่งเช้า ขบวนแห่ก็เดินทางไปยังวัดชื่อดังแห่งหนึ่งเพื่อทำการอุปสมบท เราช่วยเตรียมงานอย่างเต็มที่ โดยที่เจ๊จุ๋มก็มาร่วมช่วย (เห็นว่าคุณเต๋าเองก็เคยบวชมาก่อนแล้ว) และไอ้อี้ก็ลงมาอีกรอบ คราวนี้พ่อเลี้ยงไม่ได้มาด้วย ไม่มีคนคุมเก็บใบชา ส่วนเพื่อนพ้องคนอื่นก็ครบหน้าทุกคน เราเพื่อนไม่เยอะ แต่เพื่อนไม่เยอะของเรานั้นยังพร้อมหน้าเสมอไม่ว่าเราจะลำบากหรือสบาย เมื่อขบวนขึ้นแห่ คุณริณที่อยู่อีกฟากแกก็จ้องจะถือหมอนให้กับคุณชุน เราก็เฉยๆจนแกคว้าหมอนไปได้ แต่เจ้าสัวก็ทักขึ้นก่อน

“หนูริณจะถือหมอนให้นาคหรือ”

“ใช่ค่ะ”เธอตอบมั่นอกมั่นใจ แต่คุณนายลดาแกก็ออกปากเนิบๆขึ้นมา

“เขาถือนะหนู ผู้หญิงไหนถือหมอนให้นาคจะรักล่ม”

“แต่หนูไม่ถือนะคะ”คุณริณยังแย้งในความหมายว่าไม่ถือสากับความเชื่อ แต่เจ้าสัวสมคิดแกก็ตัดบทขึ้น

“หนูไม่ถืองั้นเจ้าหมวย..เอาไปถือแล้วกัน”

“คุณอา?”คุณริณเองก็คงจะเงิบไป ไม่นึกว่าเจ้าสัวจะมาไม้นี้ จึงได้ทำหน้ายู่หน้ายับก่อนจะเดินไปเกาะแขนคนที่น่าจะเป็นคุณหญิงศันสนีย์ คุณแม่ของคุณริณ โดยที่เจ้าสัวแกก็หันมายักคิ้วให้พวกเจ๊จุ๋มแอบขำกันเล่นๆ เมื่อเวียนโบสถ์สามรอบ โปรยเหรียญให้เด็กวิ่งแย่งกันเสร็จสิ้น นาคชุนก็ต้องทำวันทาสีมา ซึ่งเราก็มองไม่เห้นนนัก คนบังมากมายไปหมด แม้จะคนเยอะจนทุลักทุเล แต่ก็ส่งนาคเข้าทำพิธีจนเรียบร้อย เรามองไม่ออกนัก เกรงว่าถ้าเล่าละเอียดกว่านี้คนอ่านจะมองเราเป็นเด็กวัด

พระชุนได้ฉายานามว่าชยวุฑฺโฒ อ่านว่าชะยะวุดโท แปลว่าผู้มีความเจริญในชัยชนะ ท่านดูสง่าเสมอและยิ่งสง่าเมื่อห่มจีวร พระชุนจะจำวัดศึกษาทางธรรมสามเดือน กุฏิของท่านเป็นกุฏิเล็กๆไม่โออ่านัก ซึ่งเราเป็นคนไปปัดกวาดให้ก่อนหน้า เราไม่เคยรู้สึกอายหรือขัดเขินที่จะมือไหว้ท่านเลย จนตอนนี้เราถึงได้รู้สึกว่ากับคุณชุนมันไม่ได้เป็นความรู้สึกรักๆหลงๆเหมือนแรกๆ มันมีอะไรนอกเหนือไปกว่ามากกว่านั้น

“แล้วดิฉันจะทำของมาถวายท่านบ่อยๆนะคะ มิทราบท่านอยากทานอะไรหรือเปล่า”คุณนายลดาเอ่ยถามพระชุนที่ส่งยิ้มให้จางๆ

“โยมแม่ไม่รู้เหรอครับ ตักบาตรอย่าได้ถามพระ แล้วแต่โยมแม่สะดวกเถอะครับ อาตมาไม่ได้เรื่องมากนัก”

“ท่านอย่าลืมทายาด้วยนะคะ จะได้ไม่เหลือรอยแผลเป็น”คุณนายยังทักกับพระชุนที่ขยับยิ้มให้

“อาตมาจะตั้งใจศึกษา จะได้เทศน์โปรดโยมพ่อโยมแม่นะครับ”ท่านกล่าวมาว่าอย่างนั้น ทั้งเจ้าสัวกับคุณนายก็แทบจะก้มกราบทันที จำได้ว่าช่วงนั้นเราติดสอยห้อยตามคุณนายลดาราวกับเป็นคนใช้ไปหาคุณชุน เราไม่กล้าไปหาท่านลำพัง เกรงจะไม่งาม (แต่ก็ได้ยินเจ้าสัวบ่นเรื่องคุณริณชอบเอากระเช้าไปถวายคนเดียวบ่อยๆ เห็นว่าถ้าทำพระชุนอาบัติแกจะไม่ยอม) เลยโดนสอนทำกับข้าวอีกรอบ (หลังจากที่แม่สอนเราไปรอบแล้วเราไม่เอา) นั่งรถไปด้วยกันคุณนายก็เอาละ วิธีทำฉู่ฉี่ปลาเนื้ออ่อน ทำแกงเลียงผักรวม พะแนงเนื้อพะแนงไก่ ทอดมันข้าวโพด ลามไปถึงขนมนมเนยที่พระชุนชอบ คงเพราะคุณนายไม่รู้จะคุยอะไรกับเราละมั้ง

ดังนั้น ชีวิตเราจากสี่ก็ได้บ้านเจ้าสัวกับวัดมาเป็นหกที่ วนเวียนไปมาในอาทิตย์หนึ่ง บางวันมาถึงห้องก็นอนหลับ แม้จะห่างกันอีกรอบ แต่ครั้งนี้เรากลับไม่ได้ภาวนาให้วันเวลาผ่านไปไวๆเหมือนที่อยู่โรงพยาบาล แม้พระชุนจะโดนเรียกว่าหลวงพี่ชุนอยู่บ่อยๆ แต่ท่านก็ยิ้มแย้มแจ่มใส ตั้งใจปฏิบัติธรรม จนเป็นที่ชื่นชมว่าเป็นพระใหม่ที่วางตัวดีและเคร่งครัดมากกว่าพระใหม่หลายๆองค์ที่เข้าบวช พอเจ้าสัวได้ยินคำชมแกก็กลัวพระชุนจะบวชไม่สึก แอบถามเจ้าอาวาสอยู่บ่อยๆว่าสึกก่อนกำหนดจะเป็นอะไรหรือไม่ แกกลัวไม่มีคนดูแลกิจการเพราะคุณแจ็คก็เพิ่งขึ้นป.สองไปหลัดๆ

เมื่อบวชได้เดือนกว่า พระชุนก็ได้เทศน์โปรดเจ้าสัวสมคิดกับคุณนายลดาตามที่ตั้งใจไว้ เราก็พนมมือน้ำตารื้นไปด้วยประหนึ่งเป็นคุณนายลดาเสียเอง การเทศน์ครั้งนั้นยิ่งทำให้พระท่านถูกชื่นชมไปเสียใหญ่ หากใครถามหาพระใหม่ หรือพระฝรั่งของวัดนี้ก็บอกกันได้ทันทีว่าพระชุน เจ้าสัวก็บ่นว่าใจแป้ว กลัวลูกชายจะไม่สึกบ่นจนคุณนายลดาระแวงระวังไปอีกคน

ในแง่ของเรากับพระชุนไม่มีเรื่องชู้สาว แม้เราจะเป็นชายสามารถเข้าถึงได้ไม่อาบัติ แต่เราก็ยังเว้นระยะไว้ และท่านเองก็ไม่ได้ปฏิบัติกับเราเหนือกว่าคนอื่น เราไม่ติดต่อกันนอกเหนือจากที่วัดตามระยะเวลาเหมาะสม และเรากับท่านก็พอใจที่จะให้เป็นแบบนั้น

จนครบถ้วนสามเดือนพระชุนก็ทำพิธีลาสึกจนเรียบร้อย กลายเป็นทิดชุนไปเสียแล้ว ซึ่งรก็กลับมาเรียกคุณชุนเหมือนเดิมนั่นล่ะ คุณชุนบ่นว่าตัวแกอ้วนกว่าเดิมนิดหน่อย ซึ่งอ้วนในความหมายของคุณเขาไม่ใช่รูปร่างตุ้ยนุ้ย แต่เป็นแก้มที่ยุ้ยกว่าเดิมมานิดหนึ่ง คุณชุนสึกออกมา คุณริณก็ไปเรียนต่อพอดิบพอดี คุณริณเลยก็เหม็นขี้หน้าเราไปกว่าเก่า ... เรากลับมาอยู่ที่คอนโด แต่ก็ทำงานส่วนตัวเหมือนเดิม คุณชุนแกก็ชักชวนว่าจะกลับไปทำออฟฟิศเหมือนเดิม แต่เราขอตัดสินใจก่อน เพราะงานที่รับมาก่อนนี้ก็ยังเคลียร์ไม่เรียบร้อยนัก

แรกเริ่มที่เรากลับมาอยู่ด้วยกันนั้นประดักประเดิด คุณชุนก็เพิ่งสึกมา แกยังคุ้นชินกับการอยู่วัด เราก็ยังจำภาพแกบวชได้อยู่ ชีวิตเลยหมุนกลับไปเหมือนตอนเพิ่งเริ่มจีบ แตะมือนิดหน่อยก็ขอโทษขอโพยกัน ซึ่งเราก็คิดว่ามันค่อนข้างดีที่เราจะเริ่มต้นกันใหม่แบบนี้ อีกอย่างคุณชุนพอได้บวชเรียนมาก็ใจเย็นลงกว่าเดิม เป็นร่างทรงพ่อสมบูรณ์ผู้หลักผู้ใหญ่ พอมีปัญหาอย่างเวลาน้องมินโทรมาระบายให้ฟัง เราก็เริ่มกล้าไปปรึกษาคุณชุนมากขึ้น ซึ่งแกก็สอนเราสอนน้องจนบางทีต้องเผลอพนมมือเลยเชียว หากนี่เป็นฟ้าหลังฝน ก็เป็นฟ้าที่สดใสจนเราไม่อยากจะเจอฝนอีก



ถึงแม้ชีวิตที่ไม่มีปัญหาจะไม่ใช่ชีวิต...
แต่ไม่มีชีวิตไหนอยากจะมีปัญหากันหรอก...เราคิดว่าแบบนั้น...
(สาธุ)





:D
แท็ก #คุณชุนพี่หมวย คับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น