วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2558

หมวย (Sehun x Luhan) (12)














Title: หมวย (12)
Image: SEHUN x LUHAN
Author: RUNAWAY05
  Note: เลขตอนไม่เคยตรง...


ในที่สุด..คนที่ออกปากเสียงแข็งว่าชีวิตนี้จะไม่มีผัวอย่างเจ๊จุ๋มก็จะแต่งงาน...

ใช่แล้ว...สตรีที่ยืนหยัดว่าไม่อยากมีสามีอย่างเจ๊จุ๋มกลับเป็นคนที่ขายออกคนแรกในบรรดาเราสามคน คู่กรณีชีวิตก็ไม่ใช่ใครอื่น เป็นลูกค้าที่มาติดต่อธุรกิจกับออฟฟิศประจำ แกชื่อคุณสุเธาว์ ชื่อเล่นว่าคุณเต๋า คุณเต๋าอายุมากกว่าคุณชุนหนึ่งปี เป็นนักเรียนนอกจบจากแอลเอ (ที่ไม่ใช่ร้อยเอ็ด) มาทำธุรกิจเป็นของตัวเองจนร่ำรวยเป็นพันล้าน หากให้เท้าความว่าคุณเต๋ากับเจ๊จุ๋มไปตกหลุมรักกันที่ไหน เราเองก็เกรงจะบอกไม่ได้เพราะแต่ละวันที่ผันผ่านก็มีคุณชุนเป็นเงาตามตัว เพิ่มเติมมาหนึ่งก็พี่ป๋อ ความภาคภูมิใจของไอ้อี้มัน (ซึ่งมันเพิ่งมารู้ทีหลังว่าเรากับคุณชุนสุดซอยกันไปแล้ว มันเลยได้แต่ขอโทษพร้อมกับสารภาพว่าได้เผยไต๋ให้ฝ่ายคุณพี่ป๋อไปหมดแล้ว เพราะอยากให้เพื่อนขายออก) นั่นล่ะ ดังนั้น ผู้ที่สามารถให้ปากคำครั้งนี้ได้ก็คือ...

“มันก็ตอนที่กินเลี้ยงบริษัทล่ะพี่หมวย คืนนั้นพี่อยู่กับคุณชุนตลอดนี่คะ คุณเต๋าแกตาเยิ้มพิรี้พิไรเจ๊จุ๋มไม่หยุด บอกว่าถ้าไม่เป็นแฟนแกเป็นเมียแกเลยก็ได้ แกไม่รีบ แค่อยากมีลูกเยอะๆ”

“เจ๊จุ๋มไม่ยอม คุณเต๋าเลยใช้กำลังกับเจ๊จุ๋มเหรอ?”เราถามน้องมินที่กำลังหลับตาปี๋เพราะซัดองุ่นดองไปสองช้อนเต็มๆ น้องก็จิ๊กจั๊กอยู่พักพอให้เราน้ำลายสอก่อนที่เสียงเจ๊จุ๋มจะดังขึ้น

“ฉันนี่แหล่ะข่มขืน พอดีฉันนึกถึงความจริงกะทันหัน ว่าต่อให้อยากฮิปสเตอร์แค่ไหน ถ้าไม่มีผัวก็ต้องแก่ตายอย่างโดดเดี่ยว คิดได้ดังนั้นฉันก็เอาเลย”

“เรียกว่าแบบมินิมอลค่ะ น้อยๆแต่ปัง”น้องมินว่า พร้อมกับเจ๊จุ๋มที่หันมาเหล่มองขณะที่แกกำลังทำสีผมอยู่ในร้านประจำข้างตึก เพราะเจ๊จุ๋มจะแต่งเข้าบ้านคุณเต๋า แกก็เลยต้องออกจากที่ออฟฟิศเพื่อไปช่วยงานที่บริษัทคุณเต๋าแทน แม้จะน่าเสียดาย แต่คุณชุนแกก็ไม่ว่าอะไร นอกจากขอให้อยู่สักเดือนหนึ่ง หัดงานน้องมินให้คล่องสักหน่อย เดี๋ยวแกจะรับคนมาเพิ่มให้ ซึ่งเจ๊จุ๋มแกก็ตกลง เพราะเกรงใจที่ต้องออกกะทันหันอยู่เหมือนกัน จนตอนนี้น้องมินหัดงานได้คล่อง และรับบัญชีมาหนึ่งคนชื่อน้องจอย เจ๊จุ๋มก็เลยใกล้ได้เวลาปลดระวางกับบริษัทนี้อย่างเป็นทางการ

“อย่ามาทำพูดถึงฉันหน่อยเลย ได้ข่าวว่าพบรักกับเพื่อนเจ้านาย รู้จักตะกายดาวนะหล่อน”เจ๊จุ๋มแกว่าให้เรามองน้องมินที่ลอยหน้าลอยตาอยู่พักจึงได้เข้าใจ น้องมินมีรถขับก็จริงแต่น้องยังไม่มีใบขับขี่ แต่ก่อนใช้ของคุณพ่อน้องให้โดนดักบ่อยๆ เราเลยแนะนำให้ไปสอบใบขับขี่เสีย แต่ตอนนั้นน้องยังไม่ค่อยมั่นใจปฏิบัติเท่าไหร่ ปกติน้องขับตามใจตัวเอง (เสยถังขยะไปก็หลายใบ) เราก็เลยแนะนำครูสอนขับรถคนเก่งของเรา... คุณเชนทร์เพื่อนคุณชุน ก็นั่นล่ะ..อ้อยเข้าปากช้าง ไม่รู้สอนกันยังไงถึงได้ตกล่องปล่องชิ้นกัน คุณเชนทร์ก็ขยันทำคะแนนเหลือเกิน ว่างๆก็ไปถอนหญ้าฟันกิ่งไม้ให้บ้านน้องมิน จนน้องมินเริ่มบ่นว่าพ่อกับแม่น้องมองเห็นคุณเชนทร์เป็นลูกชายและน้องมินเป็นลูกสะใภ้ไปเสียแล้ว

ส่วนเรากับคุณชุน...ก็ดูๆกันอยู่เหมือนเดิมนะ...

เนื่องจากเจ๊จุ๋มเป็นสาวเหนือ (ทั้งภูมิลำเนาอยู่ภาคเหนือและมีแนวคิดเหนือธรรมชาติ) โดยกำเนิด การแต่งงานของแกส่วนหนึ่งจึงจัดแบบล้านนา คุณชุนว่าจะให้คุณริณคุมงานให้สองสามวัน แล้วแกจะไปงานเจ๊จุ๋มด้วยตัวเอง ใครจะลาไปงานนี้แกอนุญาตทุกคน แต่ถ้าเช็คแล้วไม่อยู่ในงานแกจะหักเงินสองเท่า เลยมีหลุดรอดลงชื่อไปงานเจ๊จุ๋มอยู่สามสิบกว่าคน เจ้าสัวสมคิดกับคุณนายลดาไม่ว่างไปงาน เพราะเจ้าสัวแกต้องไปคุมธุรกิจสวนอัลปาก้าอยู่โคราช ไหนจะห่วงหัวปลีหลังคฤหาสน์ที่เริ่มอวบอ้วน กลัวจะมีคนมาลักตัดไป ก็เลยเอ่ยปากว่าจะใส่ซองให้แต่เนิ่นๆ ซึ่งตัวเราเองก็ชวนพ่อแม่เราไป และพวกท่านก็ไม่มีปัญหา

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่มีอะไรที่จะทำให้เรามึนไปมากกว่าเรื่องที่ว่าเจ๊จุ๋มเป็นน้องสาวฝาแฝดของพ่อเลี้ยงจุ่น พ่อคุณทูนหัวของเพื่อนอี้นี่เอง เหมือนว่าเจ๊จุ๋มและไอ้อี้ก็เพิ่งมารู้ความสัมพันธ์เหล่านี้ เจ๊จุ๋มว่าพี่ชายแกไม่ค่อยสมประกอบ มีคนดูแลเป็นผู้เป็นคนก็ดีแล้ว จะหญิงจะชายก็ช่างหัวมัน ประคับประคองกันจนแก่จนเฒ่าก็พอ

เย็นวันนั้น เราเตรียมเสื้อผ้าข้าวของตั้งแต่คอนโดเพื่อจะได้ไปสมทบกับพ่อแม่ที่บ้าน เพราะบริษัทนี้รับของต่างประเทศมาขายตามเว็บ ห้องของเราเลยเต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้อำนวยความสะดวกแบบแปลกๆที่คุณชุนถือติดไม้ติดมือมาจากโรงงาน เราก็ใช้บ้างไม่ใช้บ้างไปตามยถากรรม อย่างดีหน่อยก็เตารีดมือถือ เป็นแบบใส่แบตเตอรี่ด้านหนึ่ง อีกด้านใส่น้ำ ถูไปถูมาไอน้ำก็ออก ไว้รีดเสื้อเวลาเดินทางไปไหนมาไหน เราเอาอีกชิ้นไว้ติดรถ เพราะคุณชายชอบทัวร์ไปตายเอาดาบหน้าบ่อยๆ สกินแคร์บางชิ้นก็ของจากต่างประเทศล่ะ แค่ไม่ได้ขึ้นห้าง เราก็เอามาใช้เองเสียเลย หน้าก็ไม่พังนะ หรือเราหน้าด้านหน้าทนก็ไม่รู้

พอได้เวลาตีห้ารถตู้ก็มารับ เพราะแม่เรานั่งเครื่องบินไม่ได้ แกเคยนั่งอยู่ครั้งแกต้องกินยาเพราะใจสั่น ทุกคนก็ตามใจแม่เราด้วยการมารถตู้ ส่วนคนในบริษัทก็นั่งรถทัวร์เหมาคันไป รถตู้มีลุงสมานที่คุณเชนทร์จ้างมาเป็นคนขับ ในรถก็มีพ่อแม่เรา คุณชุน เรา คุณเชนทร์ น้องมิน น้องจอยที่ติดสอยห้อยตามมาด้วย ส่วนงานที่ออฟฟิศเจ๊แตที่อยู่อีกตึกแกทำโอทีรับดูแลให้ คุณเชนทร์ก็นั่งหน้าเตรียมเวียนเปลี่ยนลุงสมานขับเพราะระยะน่าจะไกลอยู่ คุณชุนก็คุยเล่นกับพ่อเรา ส่วนน้องจอยกับน้องมินก็คุยกับแม่เราครึกครื้นด้านหลัง เจ๊จุ๋มไม่ต้องพูดถึงแก แกนั่งเครื่องไปรออยู่เชียงใหม่กับคุณเต๋าแล้ว เห็นว่าสินสอดงานนี้ห้าสิบกว่าล้าน ตาตั้งกันทั้งหมู่บ้าน คุณเต๋าบอกผ่านเจ๊จุ๋มมาว่า ไหนๆก็โดนจับทำผัวไปแล้ว ก็ต้องแต่งออกหน้าออกตาให้เหมาะสม เราว่าเราไม่ได้เข้าใจอะไรผิดไปใช่มั้ยนะ...

พอรถออกไปได้สามสี่ชั่วโมงแม่เราก็กินยาแก้เมาหลับไปแล้ว ส่วนพ่อเราก็ยังดูข้างทางประสาแก พ่อเราไม่เคยไปต่างจังหวัด ตั้งแต่เราจำความได้ทั้งชีวิตของแกอยู่ที่เยาวราช เราเลยดีใจขึ้นมาหน่อยที่ให้พ่อแม่มาเปิดหูเปิดตา คุณชุนดูแลพ่อเราดีมาก ทั้งชวนพ่อเราคุย พ่ออยากได้อะไรแกก็หาให้จนพ่อเราเริ่มเกรงใจ คุณชุนจับมือพ่อเราบีบๆนวดๆเหมือนเป็นพ่อของแกเอง หันไปมองด้านหลังสามสาวก็พากันหลับปุ๋ยไปตามกันแล้ว เราก็เลยนั่งซบต้นแขนพ่อมองคุณชุนที่ส่งสายตากลับมา ก่อนจะทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้กันเมื่อพ่อเราไอขึ้นมาเล็กน้อย... คงเห็นว่าข้ามหน้าข้ามตาแกล่ะ

ใช้เวลาเก้าชั่วโมงก็ไปถึงเชียงใหม่ ขับรถต่อไปอีกหน่อยก็ถึงบ้านของเจ๊จุ๋ม ซึ่งเป็นไร่ชาขนาดใหญ่ของหมู่บ้าน ไอ้อี้ก็หน้าบานวิ่งเข้ามาสวมกอดเราเสียจนเต็มรักให้คุณชุนมองเราตาขวางเล่นๆ ได้ความว่าพ่อของพ่อเลี้ยงจุ่นและเจ๊จุ๋มชื่อกำนันฉ่อย เป็นคนใหญ่คนโตของหมู่บ้าน ยิ่งลูกสาวจะออกเรือนก็กางเตนท์ผ้าใบไปสามหลัง จัดงานจัดการกันครึกครื้น เตรียมเรือนรับรองไว้สามเรือนเมื่อรู้ว่าคนจากกรุงเทพฯจะมากัน เรากับไอ้อี้พาพ่อกับแม่ไปที่ห้องพักที่มันเตรียมไว้ให้ เพิ่งเห็นเพื่อนมาอยู่ที่นี่ตัวมันขาวเหมือนหยวกกล้วย ลักยิ้มมันลึกชัดเหมือนฉลากประจำตัว ไอ้อี้มองคุณชุนที่คุยกับลุงสมานและคุณเชนทร์อยู่แถวๆใต้เรือนก็ดึงเรามากระซิบเบาๆ

“นี่เหรอแฟนแก...หล่อมาก หล่อเหมือนดารา ทำไมไม่ส่งรูปให้ฉันดูแต่แรกวะ”

“ก็จะส่งให้แกก็ว่าไม่เอา ขี้เกียจโหลดนี่”

“เอาเถอะ แต่พี่ป๋อแกก็มานะ นอนอยู่เรือนหลังโน่นมั้ง แกจะเอายังไง”

“ฉันจะเอายังไงได้ ฉันไม่ได้คิดอะไรกับพี่เขาอยู่แล้ว”

“แน่นะ”

“อย่าไปแกล้งคุณชุนแกเชียว เห็นแบบนั้นแกขี้หึงอย่างกับอะไร เดี๋ยวฉันจะเป็นผีมาหลอกแกเปล่าๆ”

“รู้แล้วล่ะน่า ขนาดฉันกอดแกเฉยๆคุณเขายังมองฉันไม่วางเลย อากาศเย็นแล้ว เดี๋ยวฉันไปเอาน้ำขิงมาให้พ่อแม่แกก่อน ห้องแกก็อีกฝั่งนี่ล่ะ บอกคู่ที่เขามาด้วยกันด้วยว่าห้องแถวนั้น”

“คุณเชนทร์กับน้องมินเขายังไม่ได้กัน น่าเกลียดตาย เดี๋ยวให้น้องมินกับน้องจอยนอนข้างห้องพ่อแม่ คุณเชนทร์ไปนอนกับลุงสมานคนขับรถเอาแล้วกัน”

“เออ ก็จริง งั้นก็ตามนั้น นอนพักเอาแรงก่อนค่อยมาช่วยงาน แม่อุ้ย(ย่า,ยาย)ยิ่งบ่นกลัวจะทำบายศรีไม่ทัน ฝากจัดการแขกด้วยแล้วกันนะ”ไอ้อี้ฝากฝังเราอยู่พักก็ปลีกตัวออกไป เราก็เข้าไปดูพ่อกับแม่ที่นอนพักกันอยู่ แม่เรายังนอนหลับราวกับสลบ แต่พ่อเราก็ยังเคลิ้มๆเมื่อยๆ เราเลยเอาผ้าเย็นเช็ดหน้าเช็ดคอให้ท่าน แล้วบอกว่าเดี๋ยวเย็นๆจะมาปลุก มีอะไรออกมาเรียกได้เลย

เราออกมาบอกให้น้องมินกับน้องจอยเอาข้าวของไปเก็บ จะเดินเล่นหรือนอนพักก็ได้ แต่สาวๆบอกอยากไปหาเจ๊จุ๋มอยู่เรือนใน เราก็เลยฝากคุณป้าที่ช่วยงานแถวนั้นนำน้องไปหาเจ๊จุ๋มที่อยู่เรือนเจ้าสาว เพราะแกต้องเก็บตัวจนกว่าพิธีจะเสร็จ ส่วนคุณเชนทร์กับลุงสมานก็นอนหลับพักผ่อนในห้องเพราะขับรถมาทั้งวัน เราเอาของออกมาจัดในห้อง ก็ได้ยินเสียงขัดกลอนและคุณชุนก็เดินเข้ามาตะครุบเสียอย่างนั้น

“มาปล้ำครับ จะได้แต่งกันไวไว”

“คุณชุน! เล่นอะไรเป็นเด็กไปได้”เราเอ็ดแก แต่ปากก็แย้มยิ้มล่ะเพราะไม่ได้จริงจังอะไรนัก

“เป็นเด็กก็ต้องดื่มนม”ดูเขาทำ...ทะลึ่งตึงตังกันหน้าตาเฉย เรานี่ร้อนทั้งหน้าได้แต่หยิกแขนแกเป็นจ้ำจนคุณชุนร้องโอดโอย “พี่หมวยหยิกผมทำไม ผมยังไม่ได้พูดอะไรซะหน่อย”

“อย่ามาสองแง่สองง่ามครับ”

“ไม่ได้ขับรถผ่านรังแตนทำไมหงุดหงิดจังเลยน้อ...”แกพูดพร้อมกับอุ้มเราขึ้นนั่งตักแก เราหลับตาเพราะลมหายใจคุณชุนปัดผ่านไปแถวๆต้นคอ “เห็นแบบนี้ก็อิจฉานะครับ เมื่อไหร่จะมีวันของเราซะที”

“ขอกับพ่อพี่สิครับ...เห็นพ่อว่าถ้าจะแต่งพี่เป็นเจ้าสาวต้องห้าร้อยยี่สิบล้านล่ะ”

“ผ่อนวันละร้อยนะครับ”

“ดีเลยครับ หมดปุ๊บเราก็แก่ตายพร้อมกัน”คุณชุนหัวเราะทันทีที่เราสัพยอกใส่ แกโน้มหน้าเอาปลายจมูกมาเขี่ยๆจนเราหลับตาปี๋ ก่อนจะโถมลงไปนอนกอดเราเอาไว้กับผืนเตียง

“พี่หมวย”

“ครับ?”เราพลิกตัวหันไปก็เจอคุณชุนนอนหงายมองเพดาน เราเลยขยับมานอนมองเพดานตามแก คุณชุนแกยกมือขึ้นเหมือนแตะกับอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็น แล้วแกก็พูดขึ้นมาเบาๆ

“เจ็ดปีทำไมนานจัง..ผมอยากแต่งกับพี่พรุ่งนี้เลย”เราเหลือบมองคุณชุนที่มอดสายตาไปอย่างไม่มีจุดหมาย “อยากให้หลับไปพอตื่นมาเราก็สามสิบ แล้วเราก็อยู่ด้วยกัน”

“...”

“ตอนผมสามสิบจะเป็นยังไงนะ...จะเป็นคนข้างๆพี่อยู่รึเปล่า หรือทำอะไรให้พี่เสียใจรึเปล่า”คุณชุนแกรำพงเบาและเราก็ยื่นมือไปแตะกับมือแกที่กางค้างกลางอากาศอยู่อย่างนั้น

“พี่ไม่รู้เหมือนกันครับ...แต่ตอนนี้...พวกเราจับมือกันอยู่..แบบนี้”

“...”

“คุณชุนขอพี่ไว้ว่าอย่าปล่อย...พี่ก็จะไม่ปล่อย”เรากุมมือแกเอาไว้พร้อมกับดึงมือแกลงมาเพราะเกรงว่าแกจะเมื่อยแขน “อยู่ด้วยกัน”

“ถ้าพี่จะน่วมเพราะโดนฟัดก็ไม่ต้องห่วงเลยนะครับ”คุณชุนตั้งแต่จะฟัดเราขึ้นมา แต่ทว่าเสียงร้องนอกห้องก็ดังขึ้นมาก่อน

“หมวย! มาช่วยแม่หน่อย! พ่อเป็นอะไรไม่รู้ เร็วลูก!!

!!”เราเบิกตากว้างรีบผลุนผลันแข่งกับคุณชุนออกไปนอกห้อง เมื่อประตูห้องเปิดเราก็เห็นพ่อนอนกุมหน้าอกพิงหัวเตียงโดยที่แม่ก็ลนลานทำอะไรไม่ถูก เสียงเรียกของแม่ดังมากพอที่จะทำให้คนอื่นที่อยู่ข้างนอกพากันเข้ามา เราใจหายวูบเพราะพ่อแข็งแรงมาตลอด พ่อไม่เคยมีอาการน่าตกใจแบบนี้ แต่เหมือนคุณชุนจะตั้งสติได้ดีกว่าเรา แกเลยให้ช่วยกันพาพ่อไปโรงพยาบาลโดยที่เรากับแม่ก็นั่งรถไปด้วยกัน โชคดีที่โรงพยาบาลไม่ไกลจากหมู่บ้านนัก

หลังจากพาพ่อเข้าแผนกฉุกเฉินไป เราก็นั่งกอดแม่ที่ยังกระวนกระวายและคุณชุนก็เดินไปเดินมา จนนางพยาบาลมาเรียกพวกเราไปคุยกับหมอ เรื่องที่น่าใจหายก็เกิดขึ้นเมื่อคุณหมอบอกว่าพ่อเราเป็นโรคหัวใจ ต้องหลีกเลี่ยงอาหารมันๆและออกกำลังกาย รวมทั้งตรวจสุขภาพบ่อยๆ คืนนี้พ่อต้องนอนดูอาการอยู่ที่โรงพยาบาล แต่พ่อดื้อ อยากจะไปงานแต่งเจ๊จุ๋มให้ได้ หมอเลยกล่อมให้พักคืนเดียว แล้วเดี๋ยวว่ากัน แม่เลยว่าจะมาเฝ้า เราก็จะเฝ้าด้วย คุณชุนเลยบอกเฝ้ากันทุกคนนี่ล่ะ ไปอาบน้ำเตรียมข้าวเตรียมของก่อน เดี๋ยวมานอนเฝ้าอยู่ด้วยกัน แม่เลยบอกให้เรากับคุณชุนไปอาบน้ำเก็บของก่อน เดี๋ยวแม่จะเฝ้าแล้วค่อยมาเปลี่ยน เราเลยว่าจะเข้าไปดูพ่อเสียหน่อยแล้วค่อยกลับไปอาบน้ำ

เข้าไปในห้องพักเดี่ยวเราก็เห็นพ่อใส่ชุดคนไข้นอนพักอยู่ ทั้งที่ตอนเช้าเรายังคิดว่าดีอยู่เลยที่พ่อกับแม่จะได้มาเที่ยว แต่ตอนนี้เรากลับรู้สึกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก เราเดินไปกุมมือพ่อเอาไว้ แล้วแกก็หันมายิ้มให้จางๆ

“ทำหน้าเป็นหมาหงอยเชียว”

“พ่อเป็นขนาดนี้ผมยิ้มไม่ออกหรอกพ่อ”เราตอบไปตามตรง พ่อก็เอื้อมมือตาตีหน้าผากเราเสียงดังแป๊ะ

“ตีหัวแกดัง แปลว่าพ่อยังไหว จำไว้”นั่น...แกว่าอย่างนั้น เราคลำหน้าผากป้อยๆก่อนที่พ่อเราจะพูดขึ้นมาอีก “คุณชุน...”

“ครับ?”คุณชุนขานรับพร้อมกับขยับมาหาพ่อ โดยที่เราก็ถอยหลังเบี่ยงให้ไปอยู่ข้างแทน เราเห็นพ่อกุมมือคุณชุนแน่น แล้วท่านก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆแต่หนักแน่น

“สัญญากับลุงมั้ย...ถ้าลุงเป็นอะไรไป คุณชุนจะดูแลหมวยกับแม่”

“พ่อพูดอะไรน่ะ!”เราร้องแล้วมองแม่ที่กุมมือพ่อเอาไว้ไม่พูดอะไร แต่ดูพ่อจะไม่สนใจเราเท่าไหร่นัก

“คุณชุนอย่าทิ้งหมวยกับแม่นะ...ลุงแก่แล้ว ที่เป็นนี่จะหายหรือจะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ชีวิตคนมันสั้น... ขอแค่คุณชุนสัญญา ลุงก็จะได้สบายใจ”พ่อพูดเหมือนฝากฝังเราไว้กับคุณชุนที่ยืนนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนที่แกจะยิ้มแล้วจับมือพ่อเบาเบา

“ถ้าผมสัญญาแล้ว...คุณลุงจะรักษาสุขภาพให้ดีๆ ผมจะสัญญาครับ... ขาดคุณลุงไป คุณป้ากับพี่หมวยก็ไม่มีความสุข และความสุขตรงนั้นชุนเติมให้ไม่ได้หรอกนะครับ จากนี้คุณลุงต้องงดของรสจัด ของมันๆ ออกกำลังกายเยอะๆ และชุนก็จะทำตามสัญญาไปพร้อมๆกันครับ”

“แล้วลุงจะอดได้เร้อ...ที่นอนพูดๆอยู่นี่หิวขาหมูเหลือเกิน”พ่อเราว่าจนแม่เราหลุดขำทั้งน้ำตา พ่อเราก็แบบนี้ แกไม่อยากเครียด ไม่อยากจริงจัง แต่สายตาที่พ่อมองมานั้น เราก็รู้ได้ทันทีว่าพ่อหมายถึงอะไร เราเม้มปากให้พ่อยิ้มๆพร้อมกับคุณชุนที่จับมือพ่อเราแตะแก้ม ทันทีที่แกเปรยออกมาอีกเบาๆ

คงเพราะอยู่กันในห้องพักโรงพยาบาล...ความสุขจึงไม่เต็มที่เท่าใดนัก

“ถ้าจะรับเด็กมาเลี้ยง..รับมาสองคนนะ เผื่อนามสกุลบ้านลุงด้วย ลุงกับอาม่าคิดนาน...”



:D
แท็ก #คุณชุนพี่หมวย จ้า




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น