วันอังคารที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2558

หมวย (Sehun x Luhan) (19)






Title: หมวย (19)
Image: SEHUN x LUHAN
Author: RUNAWAY05
  Note: พี่ป๋อ = จิงป๋อหรัน ต้ะ




เรากลืนน้ำลายอึกใหญ่เมื่อพี่ป๋อหันมาทักก่อนจะคลี่ยิ้มหวานมาให้ เราส่งยิ้มเจื่อนๆกลับไปก่อนจะตอบคำถามของแก โดยที่คุณชุนก็เมินหน้าหนีไปย่างกุ้งต่อ

“ครับ มาพักวันหยุดยาว”

“พี่ส่งเมลลูกค้าใหม่ไปให้นะ อย่าลืมเช็คล่ะเรา”

“พี่ก็มาเที่ยวเหรอครับ”เราถามคำถามโง่ๆที่ไม่น่าถามแล้วแกก็พยักหน้า

“พี่กลับมาหาแม่ที่อุดร พอดีเจอเพื่อนๆกลุ่มสมัยเรียนเลยว่าจะมาดูหมอกที่ภูทอก แต่เล่นซัดเบียร์เป็นลัง คงไปไม่ไหวแล้วมั้ง”

“รักษาสุขภาพนะพี่”

“อื้ม เราด้วยล่ะ กินต่อเถอะเรา พี่ไม่กวนแล้ว”

“ครับ”

“เฮ้ย รู้จักกันเหรอวะ?”ไอ้บี๋ทักขึ้นโดยปล่อยให้คำว่าวะนั้นเบาลงเหมือนไม่ได้พูด ขณะที่ศพกุ้งจากพี่หมอก็ยังโยนใส่จานมันเรื่อยๆ เรารีบหันหน้ากลับมาทำหลังตรงมองไอ้บี๋ที่จับหางกุ้งสองตัวจ้วงเข้าน้ำจิ้มแล้วส่งเข้าปากสี่เหลี่ยมของมันจนหายลับไป เราหันมองคุณชุนที่เหล่ตาไปทางพี่ป๋อก่อนจะได้ยินเสียงพี่ป๋อเป็นฝ่ายทักขึ้น

“สวัสดีครับคุณชุน”

“สวัสดีครับ”

“บังเอิญจังนะครับมาเที่ยวที่นี่”

“เหมือนกันครับ”เราไม่รู้จะทำอย่างไรกับสถานการณ์ เพราะดูคุณชุนแกจะเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและมนุษย์ทุกคนบนโลกยกเว้นพี่ป๋อ เราเลยยื่นมือไปจับมือคุณชุนเอาไว้ ก่อนที่เราจะเห็นพี่ป๋อมองมือของเรา แล้วแกก็ยิ้มออกมาจางๆ

“เห็นว่าจะไปดูทะเลหมอก...ไว้เจอกันนะครับ”พี่ป๋อว่าเท่านั้นก่อนจะหันไปคุยกับเพื่อนที่โต๊ะแกประมาณว่าไม่มีอะไรคนรู้จัก บรรยากาศโต๊ะเราเงียบไปทันควัน เราที่นั่งเกร็ง คุณชุนที่เงียบสงัด ไอ้บี๋ที่ยังเคี้ยวไม่หยุดพอๆกับพี่หมอที่ตั้งอกตั้งใจพลิกกุ้งบนตะแกรง สักพักคุณชุนก็เอ่ยกับเราขึ้นมา

“พี่หมวย ตักซุปให้ผมทีครับ หนาวแล้วแฮะ”

“อ่าได้ครับ เดี๋ยวพี่ตักให้นะ”เราโล่งใจมาเปลาะหนึ่งพร้อมกับเสียงพี่หมอชรัณที่ไล่มาทันกัน

“น้องบี๋ตักให้พี่ด้วยสิครับ”

“หมวยมึงตักให้พี่เขาหน่อย”ไอ้บี๋พูดแบบไม่ต้องคิดจนโดนพี่หมอปรามขึ้นมาอีกรอบ

“น้องบี๋...”

“ก็มือผมเลอะอะ”

“หนูไม่เช็ดมือมือก็เลอะสิครับ”พี่หมอหยิบทิชชู่ให้ไอ้บี๋ที่ทำปากจิ๊กจั๊กเพราะเสียเวลากินมันแล้วตักน้ำซุปหมูกระทะแจกจ่ายให้กันแต่โดยดี พอกินจนเช็คบิลเรียบร้อย หันมาก็ไม่เจอพวกพี่ป๋อแล้ว เรากับคุณชุนเลยแยกกับไอ้บี๋ที่บ่นว่าจะไปกินนมสดทอดต่ออีก พวกเราเดินเท้ากลับเพราะคนก็ยังไม่ซามากนัก แต่คุณชุนก็ทำตัวปกติจนเราอดไม่ได้ที่จะถาม

“คุณชุน...จิ๊กกิ้วมั้ยครับ?”

“ครับ?”

“ไม่เห็นคุณชุนจิ๊กกิ้วเลย”เราว่าแล้วแกก็แย้มริมฝีปากออกมาน้อยๆ

“ให้เขาชอบพี่ไปเถอะครับ”

“อ้าว”เราเงิบก่อนจะคว่ำปากขึ้นมา...นี่คุณชุนไม่รักเราแล้วหรือ..ถึงจะให้คนอื่นมาชอบได้..นี่คิดจะขายเราทอดตลาดมือสองแล้วหรือไร วีเลิฟชอปปิ้งหรือโอแอลเอ็กซ์เล่า... คุณชุนยังคงหัวเราะอย่างไม่รู้สึกรู้สมพร้อมกับลูบหัวเราเหมือนลูบหัวหมา

“การชอบใครสักคนมันดีนะครับ...มันคงเหมือนตอนที่ผมชอบพี่ แต่ถ้าพี่ไม่ได้อะไรเขาตอบ มันก็เหมือนตบมือข้างเดียว ยังไงก็ไม่ดังครับ ...เอาไว้ถ้าเขาตบแล้วดัง ตอนนั้นผมค่อยว่ากันอีกที”

“ห้ามตบพี่นะครับ”เรากำแขนเสื้อแกแน่น สมองยังจำตอนแกต่อยพี่ป๋อลงไปคลุกพื้นได้อยู่เลย

“น้ำหน้าอย่างผมเหรอจะกล้าทำพี่ แค่พี่ถือไม้แขวนเสื้อผมก็ไม่กล้าแล้ว”แกว่าถึงตอนเราชอบตีแกเวลาแกมัวแต่ต่อกันพลาไม่กินข้าวกินปลา แล้วมาบ่นว่าเราเอาแต่ติดซีรี่ส์ เราแวะซื้อน้ำขิงร้อนๆกับปลาท่องโก๋ยัดไส้กับกุ้งเสียบอีกสองไม้ แค่นี้ก็มากพอเพราะร้านรวงเยอะเหลือเกิน คนเดินกันมากมายราวกับไม่เหน็ดเหนื่อย ระยะทางเราจำไม่ได้ แต่เดินมาเรื่อยๆก็เพลินดี เหมือนออกกำลัง แต่พอกลับมาแล้วคุณป้าเจ้าของที่พักแกก็แนะนำให้เอาเท้าแช่น้ำอุ่นพักผ่อนเสียหน่อย เห็นแกว่าถ้าคนไม่มากก็ปั่นจักรยานได้ แต่ช่วงนี้คนเยอะเหลือเกิน ต้องเดินเท้าเอา

เราอาบน้ำแล้วมาเตรียมที่นอนรอคุณชุนที่ไปอาบน้ำตามหลัง คุยกับเพื่อนๆพี่น้องที่ขอของฝากเป็นเสียงเดียวกัน โทรหาพ่อกับแม่ว่าสบายดี อากาศดีมาก แล้วจะถ่ายรูปไปฝาก ว่าแล้วก็เสียดาย เวลาเราเห็นอะไรดีๆ กินอะไรอร่อยๆ เจอที่สวยๆเราก็อยากให้พ่อกับแม่มาด้วย แม้ว่าท่านจะไม่ค่อยอยากมานักเพราะไม่สะดวกนั่นนี่ แต่ถ้าได้หยุดยาวอีกครั้ง เราคิดว่าจะขับรถมาเที่ยวฝั่งอีสานดูเสียหน่อย เราชอบป่าเขา ชอบต้นไม้ ชอบตั้งแต่เดินทางมา เราว่ามันสงบเงียบกว่าในเมืองแม้จะไม่มีอะไรอำนวยมาก ถึงจะไม่ได้เดินสิบนาทีถึงรถไฟฟ้า แต่ก็มีอะไรทดแทนได้ดีอยู่ แต่ติดอย่างเดียวล่ะคุณ เราไม่ใช่คนรวย คนที่ดิ้นรนทำมาหากินก็ต้องอยู่ในเมืองล่ะ ไม่มีใครไม่อยากอยู่กับที่สวยๆธรรมชาติบรรยากาศดีๆกันหรอก แต่อยู่แล้วมันไม่มีกิน ก็เลยไปแออัดในเมืองนี่อย่างไร

ไม่รู้ว่าเราหลับไปเมื่อไหร่ รู้สึกตัวอีกทีคุณชุนก็นอนกอดเราเอาไว้ใต้ผ้าห่มเนื้อหนา เราดูมือถือก็พบว่าตีสามยี่สิบ เลยออกไปล้างหน้าล้างตา โทรไปเตือนไอ้บี๋กลัวมันจะหลับเพลิน ตระเตรียมข้าวของเรียบร้อยก็มาปลุกคุณชุนให้แกไปล้างหน้าแปรงฟันเตรียมไปภูทอก ปกติเขาออกกันตอนตีห้าครึ่งละมัง แต่บางที่ก็แนะนำช่วงตีสี่ครึ่ง ซึมซับบรรยากาศช่วงฟ้าสาง รอสิบห้านาที ไอ้บี๋กับพี่หมอก็มาหาที่หน้าเกสต์เฮาส์ ไอ้บี๋นี่ดูไม่ออกว่ามันตื่นหรือยัง ตามันยิบหยีไปหมด แต่พี่หมอชรัณแกสดชื่นแจ่มใสดีประสานายแพทย์ที่เข้าเวรกลางคืนเป็นส่วนมาก

เรานั่งสามล้อไปยังทางขึ้น ก่อนจะนั่งสองแถวต่อขึ้นไปคนละยี่สิบห้าบาท เมื่อมาถึงก็ช่วงเวลาโพล้เพล้ อากาศเย็นจนคุณชุนแกหายใจออกมาเป็นควันสีขาว (แต่แกบอกชินแล้ว อยู่เยอรมันหน้าหนาวก็ประมาณนี้) หันไปดูไอ้บี๋ไม่รู้แข็งตายไปหรือยัง เพราะมันไม่ค่อยชอบอากาศหนาว จำได้หน้าหนาวตอนเด็กๆมันเอาถุงน้ำเต้าหู้พ่อมันมากอดเป็นถุงร้อนไปในตัว พอน้ำเต้าหู้เย็นค่อยกัดตูดถุงกิน ตอนนี้ถึงมันจะไม่มีน้ำเต้าหู้ของพ่อมันแล้ว แต่มันก็มีอะไรมาทดแทนให้ไปตามช่วงของชีวิต

“ไม่ไหวแล้วอะ..ไม่อยากคิดตอนไปสัมมนาที่เชียงรายเดือนหน้าเลย”เสียงมันว่าพร้อมกับกอดตัวเองสั่นหงึกๆ จนพี่หมอต้องอาที่ปิดหูขนเฟอร์สีเทาอ่อนมาปิดหูให้มัน

“พี่บอกให้หนูใส่ หนูก็ไม่ใส่ เป็นไงล่ะครับ”

“โอยพี่ ใส่ทับกันยี่สิบอันก็ไม่พออะ หนาวสาส”

“ก็หนูดื้อไงครับ ถุงร้อนก็ไม่ซื้อมาตั้งแต่กรุงเทพ”

“หนูไม่ดื้อนะ”มันพูดก่อนจะหุบปากฉับหันมาทำตาโตใส่เราที่ได้แต่เกาหลังหูทำเป็นไม่ได้ยินว่าคุยอะไรกัน โธ่...ที่แท้ก็เก่งแค่ต่อหน้าเรานี่นา เราทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ไปหาคุณชุนที่เดินอยู่แถวๆป้าย เบิ่งเมืองเชียงคานไปเสีย แต่ก็ไม่เห็นพวกพี่ป๋อนะ คงจะตื่นไม่ทัน เพราะตอนกหันไปจำได้ว่ามีเบียร์อยู่หลายขวด

“ฟ้าเปิดแล้วครับ”คุณชุนแกมองนาฬิกาแล้วพูดขึ้น เราก็เห็นว่าท้องฟ้าค่อยๆสว่าง มองเห็นทะเลหมอกสีขาวเหมือนมีก้อนเมฆมาอยู่ตรงหน้า ด้านล่างเป็นทิวทัศน์เมืองเชียงคานแทบจะทั้งหมด เรามองคุณชุนที่ถ่ายรูปไปตามประสา พอหันหลังไปมองอีกทีพี่หมอก็มีสี่ขาไปแล้ว ไม่ใช่อะไร ไอ้บี๋มันหนีไปมุดโค้ทตัวยาวของพี่หมอชรัณ มองไปมองมาแกก็เหมือนคุณมนุษย์ต่างดาวเหมือนกันนะ

พอมองไปอีกฝั่งเห็นแก่งคุดคู้ (เห็นคนขับรถบอกว่าถ้ามาตอนเที่ยงๆจะเห็นประเทศลาวด้วย) เลยตกลงกับคุณชุนว่าพรุ่งนี้จะไปแก่งคุดคู้อีกครั้ง แต่ว่าพรุ่งนี้ไอ้บี๋กับพี่หมอต้องกลับแล้ว เลยอดไปด้วยกันอย่างน่าเสียดาย หลังจากกลับสามล้อที่เหมามาหนึ่งร้อยบาท ไปกินไข่กระทะกันแล้วก็แยกย้าย ไอ้บี๋พอได้รับแสงแดดก็เริ่มมีชีวิต เหมือนว่ามันอยากไปเล่นแถวพวกร้านสวยๆเช็คอินแล้วปั่นจักรยานไหว้พระตามวัด แต่เรากับคุณชุนอยากจะปั่นไปรอบๆมากกว่า ก็เลยแยกที่แยกทาง เจอกันอีกทีมื้อเย็น หลังจากที่กลัว คุณชุนบอกว่าเห็นไอ้บี๋กินแล้วดูอร่อยดี

เราปั่นจักรยานไปด้วยกันกับคุณชุน หลังจากที่ว่าจะนัดกันกินข้าวริมแม่น้ำตอนเย็นกับไอ้บี๋ ก็แวะกินฮอกไกโดชีสเค้กซอยสิบสี่ล่างริมฝั่งโขง บรรยากาศตอนนี้กำลังดี เรากับคุณชุนสั่งเค้กกับกาแฟร้อน รับรหัสไวฟายนี่เรียงเลขกันอย่างน่ารัก (ไม่ซับซ้อนเหมือนไวฟายฟรีแต่มีรหัสในกรุงเทพ หรือไวฟายฟรีที่หายไปเสียดื้อๆของค่ายมือถือบางค่าย) เราชอบชุดเก้าอี้ไม้สีน้ำตาลที่ช่างเข้ากับกางเกงยีนส์สีน้ำเงินเข้มของคุณชุน ชอบเสื้อโปโลสีครีมที่คุณชุนสวมและทับด้วยแจ็กเกตสีกรมท่า ซึ่งแกก็มองเราสักพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยปาก

“พี่หมวย ชันเข่าหน่อยครับ”

“ชนทำไมครับ..ร้านไม่ว่าเหรอ เหยียบเก้าอี้เขานะ”

“แป๊บเดียวครับ มองกล้องนะ”เราทำตามคำสั่งของคุณชุนร่างทรงพ่อ ก่อนที่แกจะกดถ่ายรูปแล้วเราก็รีบวางเท้าเพราะกลัวจะโดนพนักงานมาว่า เรารับมือถือมาดู ก่อนจะแปลกใจเมื่อเห็นคนในรูปที่ผมเป็นสีน้ำตาลแสกกลาง กำลังถือแก้วกาแฟเชยตามอง เสื้อลายสก็อตเฉิ่มๆที่ไอ้อี้มันแซวตอนเราซื้อครั้งแรกแถวตลาดนัด สมัยเรียนลาดกระบังว่าเหมือนเสื้อตัดอ้อยสวมใส่แบบเก็บชายไว้ในกางเกง อวดท่อนขาที่สวมสกินนี่เดนิมสีดำตัวย้วยที่ใส่มาหลายปี แปลกนะ.. ที่เทคโนโลยีสมัยนี้ทำให้สิ่งธรรมดาๆในสายตาของเราดูดีขึ้นมาได้ เราหรี่ตามองอยู่พักหนึ่งก็เอ่ยปากถามแกขึ้นมา

“คุณชุนบีบหน้าพี่เหรอครับ”

“พี่ไม่ค่อยกินอะไรเองมากกว่าครับ อย่างนี้แหล่ะ ติดซีรี่ส์”

“ไม่ใช่สักหน่อย”เรายื่นปากใส่แก “คนต่อกันพลาไม่มีสิทธิ์บ่นพี่นะครับ”

“พอกันแหล่ะครับ”

“ซีรี่ส์พี่ไม่แพงเท่ากันพลาคุณชุนนะ”

“เดี๋ยวฟัดริมแม่น้ำเลย”แกว่าปุ๊บเราหุบปากปั๊บ ก็คุณชุนแกพูดเล่นๆเสียเมื่อไหร่กัน แกคงเห็นเรานั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนปวดอึ เลยตัดบราวนี่แบ่งมาให้เราชิมสองช้อนถ้วน เราก็มีศักดิ์ศรีนะคุณ... เอะอะอะไรก็เอาของกินมาปิดปาก เห็นเราเป็นคนเห็นแก่กินหรือไร... อยากจะพูดแบบนี้กับคุณชุนนะ แต่มือนี่จ้วงบราวนี่ใส่ปากแล้วก็อมยิ้มแก้มตุ่ยเพรามันอร่อยเหลือเกินไปเสียแล้ว นี่แหล่ะหนอแพ้ทางของกิน...

ช่วงเย็นของวันนี้เรากับไอ้บี๋ก็ไปทานข้าวด้วยกันที่ร้านอาหารริมชายโขง ร้านที่มันสรรหามาอย่างดิบดีเหมือนกูรูอาหารมากกว่าหมอ อากาศวันนี้ไม่หนาวเท่าเมื่อวาน แต่ก็ยังเย็นๆเข้าบรรยากาศพระอาทิตย์ตกดิน ทั้งลาบปลาคัง แกงป่าปลาคัง ปลาเนื้ออ่อนทอดกระเทียม ปลาเนื้ออ่อนทอดราดน้ำปลา ผัดเปรี้ยวหวาน ผักกูดทั้งยำและผัดน้ำมันหอยมาอย่างละจานใหญ่ๆ และหม้อไฟชายโขงที่รวมเนื้อกุ้งเนื้อปลาสดๆรสหวาน ซี่โครงหมูย่างและตำด้องแด้ง ด้องแด้งตอนแรกเราก็ว่าชื่อตลก จริงๆมันคือแป้งเส้นคล้ายลอดช่อง จะกินแบบขนมจีนก็ได้ใส่กับส้มตำก็ได้ และน้ำพริกหลวงพระบางกับผักสด รสชาติก็เหมือนน้ำพริกหนุ่มที่เราไปกินตอนอยู่งานแต่งเจ๊จุ๋มอยู่นะ กินสี่คน สั่งมาเป็นสิบอย่าง เพราะมื้อนี้มีทั้งสั่งมากินเป็นกับข้าวแบบเอาเป็นเอาตายแบบเรากับไอ้บี๋ กับสั่งมากินแกล้มไวน์หม่อนเอาบรรยากาศอย่างคุณชุนและพี่หมอ

“กินแล้วจะไปดูของฝากเลยมั้ยครับพี่”คุณชุนถามพี่หมอชรัณแทนถามไอ้บี๋ที่ข้าวยังเต็มปาก

“ไปเลยก็ได้นะ ปั่นจักรยานไปเดี๋ยวก็ย่อย พี่ว่าพี่น้ำหนักจวนจะขึ้นแล้วล่ะ”พี่หมอก็ยังคงตอบกลับมาด้วยภาษาชาววัง ถ้าเราเป็นคุณชุนเราคงคิดเหมือนกันล่ะว่าพี่หมอชรัณเหมือนลูกชายคุณนายลดามากกว่าแกจริงๆ

หลังจากโดนพายุบี๋พัดกับข้าวจนเรียบวุธ ก็ได้รู้ว่าไอ้บี๋กับพี่หมอแวะไปซื้อมะพร้าวแก้วที่แก่งคุดคู้มา (เอามาฝากเราชิมด้วย เห็นว่าเอาแบบเกรดเอมา เนื้อนิ่มอร่อยมาก) ตบท้ายก็เดินซื้อข้าวซื้อของ พี่หมอก็เดินเลือกของกับคุณชุน และท่าทางรสนิยมจะออกไปทางเดียวกัน เห็นดีเห็นงามตามกันไปหมด เราสังเกตว่าพี่หมอแกจะซื้อไปตามอยาก ไม่ถามความเห็นอะไรไอ้บี๋แม้แต่นิดเดียว พอไปถามไอ้บี๋ก็ได้ความมาว่า

“กูไม่เลือกอะไรให้ทั้งนั้นแหล่ะ เลือกไปแล้วก็ทะเลาะกัน ขนาดซื้อปลาทูน่ายังชอบคนละยี่ห้อ มึงจะมาหวังอะไรกับของฝากเขาวะหมวย”

เออจริง...

เราได้แต่มองกับช่วยไอ้บี๋ถือของเพรามือมันมีแต่ของกิน แล้วรสนิยมมันก็ยิ่งประหลาด ไม่แปลกไม่ซื้อ (มันจะฟินทุกครั้งที่ซื้ออะไรที่มีลายเดียวในกระบะ) จนได้ของเรียบร้อยไอ้บี๋ก็ซื้อพวงกุญแจให้เรากับไอ้อิน และมีของฝากเล็กน้อยๆมันเอาไปรวมใส่ถุงมะพร้าวแก้วพี่หมอ ฝากเราไปให้พ่อกับแม่ ไอ้บี๋มันน่ารักตรงนี้ ไม่ว่าจะยังไงมันก็นึกถึงพ่อแม่เราด้วยเสมอ โดยพี่หมอแกก็ซื้อพวกสมุดโน้ตกับปากกาแฮนด์เมดให้เราใส่ถุงกระดาษ และมีอีกถุงให้คุณชุนก่อนที่เราจะแยกย้ายกัน ไว้เจอกันที่กรุงเทพ เรากอดไอ้บี๋แน่นๆสักทีหนึ่ง พลันโบกมือให้กันตามประสา

พอกลับมาที่ห้อง เราสองคนก็แยกย้ายอาบน้ำกันก่อน เราอาบนานกว่าเพราะรู้สึกว่าหัวเหม็นควันข้าวจี่ที่แวะซื้อแทะมาตามทาง เลยได้ยินเสียงคุณชุนเปิดประตูห้องน้ำห้องข้างๆออกไปก่อน เราเดินเช็ดผมกลับเข้ามาในห้องก็ยืนถือลูกบิดค้างเมื่อเห็นคุณชุนแกนั่งเล่นอยู่กลางที่นอน พ่อเจ้าประคุณใส่เสื้อกล้ามนุ่งผ้าขาวม้าพลันหันมายิ้มแต้ใส่เรา

“พี่ชรัณเขาซื้อให้ครับ นุ่งสบายดีนะ”

“ไม่หนาวเหรอครับ”เราถามพายามที่จะไม่ปาดเหงื่อ โถพ่อคุณ นั่งเปลี่ยนขาทีหัวใจแทบวาย

“ไม่หนาวนะครับ อากาศดีกว่าเมื่อวานเลย พรุ่งนี้เราจะไปแก่งกันอีกรอบใช่มั้ยครับ”

“เอ่อ ใช่ครับ เดี๋ยวไปซื้อมะพร้าวแก้วด้วย ไว้ไปฝากเจ๊จุ๋มแก”เรานั่งลงกับที่นอนอีกฝั่ง ปล่อยให้คุณชุนเลื่อนดูข้อมูลอะไรของแกไป

“อย่างนั้น... ตอนเช้าจะตักบาตรอีกมั้ยครับ? ถ้าไม่ก็ตื่นสายๆกันได้ ไปกินข้าวปุ้นน้ำแจ่วกับจุ่มนัว”

“น้ำหนักพี่ขึ้นแน่ๆ”เราโอดครวญ “ไข่ต้มต้องลืมหน้าเราสองคนแน่ๆเลย”

“ไม่ลืมหรอกครับ เดี๋ยวเราพักที่ห้องสักคืนค่อยไปรับไข่ต้มกลับ ตอนเราเหนื่อยๆคงเลี้ยงน้องไม่ดีแน่ๆ พี่นอนกันเถอะ”คุณชุนหันมาชวนก่อนจะลุกไปปิดไฟ เราที่ระทึกกลัวมีฉากผ้าข้าวม้าหลุดก็โล่งใจว่าไม่มีแน่ แต่หันมาอีกที... คือแสงจากนอกห้องยังส่งมาสลัวๆ พ่อคุณแกมัดปมหนาก็จริง แต่แกเล่นยกขาอล่างฉ่างจนผ้าขาวม้าถลกร่นลงมาจนเห็นไอ้เขื่องเป็นเงาวูบไหว...

เก็บผ้าขาวม้าให้เจ้าสัวสมคิดแกใส่ดีกว่านะคุณชุน...ลวินท์ขอ...






:D

แท็ก #คุณชุนพี่หมวย นะครัช

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น