Title: หมวย (19)
Image: SEHUN x LUHAN
Author: RUNAWAY05
Note: พี่ป๋อ = จิงป๋อหรัน ต้ะ
เรากลืนน้ำลายอึกใหญ่เมื่อพี่ป๋อหันมาทักก่อนจะคลี่ยิ้มหวานมาให้
เราส่งยิ้มเจื่อนๆกลับไปก่อนจะตอบคำถามของแก โดยที่คุณชุนก็เมินหน้าหนีไปย่างกุ้งต่อ
“ครับ มาพักวันหยุดยาว”
“พี่ส่งเมลลูกค้าใหม่ไปให้นะ อย่าลืมเช็คล่ะเรา”
“พี่ก็มาเที่ยวเหรอครับ”เราถามคำถามโง่ๆที่ไม่น่าถามแล้วแกก็พยักหน้า
“พี่กลับมาหาแม่ที่อุดร พอดีเจอเพื่อนๆกลุ่มสมัยเรียนเลยว่าจะมาดูหมอกที่ภูทอก
แต่เล่นซัดเบียร์เป็นลัง คงไปไม่ไหวแล้วมั้ง”
“รักษาสุขภาพนะพี่”
“อื้ม เราด้วยล่ะ กินต่อเถอะเรา พี่ไม่กวนแล้ว”
“ครับ”
“เฮ้ย รู้จักกันเหรอวะ?”ไอ้บี๋ทักขึ้นโดยปล่อยให้คำว่าวะนั้นเบาลงเหมือนไม่ได้พูด
ขณะที่ศพกุ้งจากพี่หมอก็ยังโยนใส่จานมันเรื่อยๆ เรารีบหันหน้ากลับมาทำหลังตรงมองไอ้บี๋ที่จับหางกุ้งสองตัวจ้วงเข้าน้ำจิ้มแล้วส่งเข้าปากสี่เหลี่ยมของมันจนหายลับไป
เราหันมองคุณชุนที่เหล่ตาไปทางพี่ป๋อก่อนจะได้ยินเสียงพี่ป๋อเป็นฝ่ายทักขึ้น
“สวัสดีครับคุณชุน”
“สวัสดีครับ”
“บังเอิญจังนะครับมาเที่ยวที่นี่”
“เหมือนกันครับ”เราไม่รู้จะทำอย่างไรกับสถานการณ์
เพราะดูคุณชุนแกจะเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและมนุษย์ทุกคนบนโลกยกเว้นพี่ป๋อ เราเลยยื่นมือไปจับมือคุณชุนเอาไว้
ก่อนที่เราจะเห็นพี่ป๋อมองมือของเรา แล้วแกก็ยิ้มออกมาจางๆ
“เห็นว่าจะไปดูทะเลหมอก...ไว้เจอกันนะครับ”พี่ป๋อว่าเท่านั้นก่อนจะหันไปคุยกับเพื่อนที่โต๊ะแกประมาณว่าไม่มีอะไรคนรู้จัก
บรรยากาศโต๊ะเราเงียบไปทันควัน เราที่นั่งเกร็ง คุณชุนที่เงียบสงัด
ไอ้บี๋ที่ยังเคี้ยวไม่หยุดพอๆกับพี่หมอที่ตั้งอกตั้งใจพลิกกุ้งบนตะแกรง สักพักคุณชุนก็เอ่ยกับเราขึ้นมา
“พี่หมวย ตักซุปให้ผมทีครับ หนาวแล้วแฮะ”
“อ่าได้ครับ เดี๋ยวพี่ตักให้นะ”เราโล่งใจมาเปลาะหนึ่งพร้อมกับเสียงพี่หมอชรัณที่ไล่มาทันกัน
“น้องบี๋ตักให้พี่ด้วยสิครับ”
“หมวยมึงตักให้พี่เขาหน่อย”ไอ้บี๋พูดแบบไม่ต้องคิดจนโดนพี่หมอปรามขึ้นมาอีกรอบ
“น้องบี๋...”
“ก็มือผมเลอะอะ”
“หนูไม่เช็ดมือมือก็เลอะสิครับ”พี่หมอหยิบทิชชู่ให้ไอ้บี๋ที่ทำปากจิ๊กจั๊กเพราะเสียเวลากินมันแล้วตักน้ำซุปหมูกระทะแจกจ่ายให้กันแต่โดยดี
พอกินจนเช็คบิลเรียบร้อย หันมาก็ไม่เจอพวกพี่ป๋อแล้ว
เรากับคุณชุนเลยแยกกับไอ้บี๋ที่บ่นว่าจะไปกินนมสดทอดต่ออีก พวกเราเดินเท้ากลับเพราะคนก็ยังไม่ซามากนัก
แต่คุณชุนก็ทำตัวปกติจนเราอดไม่ได้ที่จะถาม
“คุณชุน...จิ๊กกิ้วมั้ยครับ?”
“ครับ?”
“ไม่เห็นคุณชุนจิ๊กกิ้วเลย”เราว่าแล้วแกก็แย้มริมฝีปากออกมาน้อยๆ
“ให้เขาชอบพี่ไปเถอะครับ”
“อ้าว”เราเงิบก่อนจะคว่ำปากขึ้นมา...นี่คุณชุนไม่รักเราแล้วหรือ..ถึงจะให้คนอื่นมาชอบได้..นี่คิดจะขายเราทอดตลาดมือสองแล้วหรือไร
วีเลิฟชอปปิ้งหรือโอแอลเอ็กซ์เล่า...
คุณชุนยังคงหัวเราะอย่างไม่รู้สึกรู้สมพร้อมกับลูบหัวเราเหมือนลูบหัวหมา
“การชอบใครสักคนมันดีนะครับ...มันคงเหมือนตอนที่ผมชอบพี่
แต่ถ้าพี่ไม่ได้อะไรเขาตอบ มันก็เหมือนตบมือข้างเดียว ยังไงก็ไม่ดังครับ ...เอาไว้ถ้าเขาตบแล้วดัง
ตอนนั้นผมค่อยว่ากันอีกที”
“ห้ามตบพี่นะครับ”เรากำแขนเสื้อแกแน่น สมองยังจำตอนแกต่อยพี่ป๋อลงไปคลุกพื้นได้อยู่เลย
“น้ำหน้าอย่างผมเหรอจะกล้าทำพี่
แค่พี่ถือไม้แขวนเสื้อผมก็ไม่กล้าแล้ว”แกว่าถึงตอนเราชอบตีแกเวลาแกมัวแต่ต่อกันพลาไม่กินข้าวกินปลา
แล้วมาบ่นว่าเราเอาแต่ติดซีรี่ส์ เราแวะซื้อน้ำขิงร้อนๆกับปลาท่องโก๋ยัดไส้กับกุ้งเสียบอีกสองไม้
แค่นี้ก็มากพอเพราะร้านรวงเยอะเหลือเกิน คนเดินกันมากมายราวกับไม่เหน็ดเหนื่อย ระยะทางเราจำไม่ได้
แต่เดินมาเรื่อยๆก็เพลินดี เหมือนออกกำลัง แต่พอกลับมาแล้วคุณป้าเจ้าของที่พักแกก็แนะนำให้เอาเท้าแช่น้ำอุ่นพักผ่อนเสียหน่อย
เห็นแกว่าถ้าคนไม่มากก็ปั่นจักรยานได้ แต่ช่วงนี้คนเยอะเหลือเกิน ต้องเดินเท้าเอา
เราอาบน้ำแล้วมาเตรียมที่นอนรอคุณชุนที่ไปอาบน้ำตามหลัง
คุยกับเพื่อนๆพี่น้องที่ขอของฝากเป็นเสียงเดียวกัน โทรหาพ่อกับแม่ว่าสบายดี
อากาศดีมาก แล้วจะถ่ายรูปไปฝาก ว่าแล้วก็เสียดาย เวลาเราเห็นอะไรดีๆ กินอะไรอร่อยๆ
เจอที่สวยๆเราก็อยากให้พ่อกับแม่มาด้วย แม้ว่าท่านจะไม่ค่อยอยากมานักเพราะไม่สะดวกนั่นนี่
แต่ถ้าได้หยุดยาวอีกครั้ง เราคิดว่าจะขับรถมาเที่ยวฝั่งอีสานดูเสียหน่อย
เราชอบป่าเขา ชอบต้นไม้ ชอบตั้งแต่เดินทางมา เราว่ามันสงบเงียบกว่าในเมืองแม้จะไม่มีอะไรอำนวยมาก
ถึงจะไม่ได้เดินสิบนาทีถึงรถไฟฟ้า แต่ก็มีอะไรทดแทนได้ดีอยู่
แต่ติดอย่างเดียวล่ะคุณ เราไม่ใช่คนรวย คนที่ดิ้นรนทำมาหากินก็ต้องอยู่ในเมืองล่ะ ไม่มีใครไม่อยากอยู่กับที่สวยๆธรรมชาติบรรยากาศดีๆกันหรอก
แต่อยู่แล้วมันไม่มีกิน ก็เลยไปแออัดในเมืองนี่อย่างไร
ไม่รู้ว่าเราหลับไปเมื่อไหร่ รู้สึกตัวอีกทีคุณชุนก็นอนกอดเราเอาไว้ใต้ผ้าห่มเนื้อหนา
เราดูมือถือก็พบว่าตีสามยี่สิบ เลยออกไปล้างหน้าล้างตา โทรไปเตือนไอ้บี๋กลัวมันจะหลับเพลิน
ตระเตรียมข้าวของเรียบร้อยก็มาปลุกคุณชุนให้แกไปล้างหน้าแปรงฟันเตรียมไปภูทอก
ปกติเขาออกกันตอนตีห้าครึ่งละมัง แต่บางที่ก็แนะนำช่วงตีสี่ครึ่ง ซึมซับบรรยากาศช่วงฟ้าสาง
รอสิบห้านาที ไอ้บี๋กับพี่หมอก็มาหาที่หน้าเกสต์เฮาส์
ไอ้บี๋นี่ดูไม่ออกว่ามันตื่นหรือยัง ตามันยิบหยีไปหมด แต่พี่หมอชรัณแกสดชื่นแจ่มใสดีประสานายแพทย์ที่เข้าเวรกลางคืนเป็นส่วนมาก
เรานั่งสามล้อไปยังทางขึ้น
ก่อนจะนั่งสองแถวต่อขึ้นไปคนละยี่สิบห้าบาท เมื่อมาถึงก็ช่วงเวลาโพล้เพล้
อากาศเย็นจนคุณชุนแกหายใจออกมาเป็นควันสีขาว (แต่แกบอกชินแล้ว อยู่เยอรมันหน้าหนาวก็ประมาณนี้)
หันไปดูไอ้บี๋ไม่รู้แข็งตายไปหรือยัง เพราะมันไม่ค่อยชอบอากาศหนาว
จำได้หน้าหนาวตอนเด็กๆมันเอาถุงน้ำเต้าหู้พ่อมันมากอดเป็นถุงร้อนไปในตัว
พอน้ำเต้าหู้เย็นค่อยกัดตูดถุงกิน ตอนนี้ถึงมันจะไม่มีน้ำเต้าหู้ของพ่อมันแล้ว แต่มันก็มีอะไรมาทดแทนให้ไปตามช่วงของชีวิต
“ไม่ไหวแล้วอะ..ไม่อยากคิดตอนไปสัมมนาที่เชียงรายเดือนหน้าเลย”เสียงมันว่าพร้อมกับกอดตัวเองสั่นหงึกๆ
จนพี่หมอต้องอาที่ปิดหูขนเฟอร์สีเทาอ่อนมาปิดหูให้มัน
“พี่บอกให้หนูใส่ หนูก็ไม่ใส่ เป็นไงล่ะครับ”
“โอยพี่ ใส่ทับกันยี่สิบอันก็ไม่พออะ หนาวสาส”
“ก็หนูดื้อไงครับ ถุงร้อนก็ไม่ซื้อมาตั้งแต่กรุงเทพ”
“หนูไม่ดื้อนะ”มันพูดก่อนจะหุบปากฉับหันมาทำตาโตใส่เราที่ได้แต่เกาหลังหูทำเป็นไม่ได้ยินว่าคุยอะไรกัน
โธ่...ที่แท้ก็เก่งแค่ต่อหน้าเรานี่นา เราทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ไปหาคุณชุนที่เดินอยู่แถวๆป้าย
‘เบิ่งเมืองเชียงคาน’
ไปเสีย แต่ก็ไม่เห็นพวกพี่ป๋อนะ คงจะตื่นไม่ทัน
เพราะตอนกหันไปจำได้ว่ามีเบียร์อยู่หลายขวด
“ฟ้าเปิดแล้วครับ”คุณชุนแกมองนาฬิกาแล้วพูดขึ้น
เราก็เห็นว่าท้องฟ้าค่อยๆสว่าง มองเห็นทะเลหมอกสีขาวเหมือนมีก้อนเมฆมาอยู่ตรงหน้า
ด้านล่างเป็นทิวทัศน์เมืองเชียงคานแทบจะทั้งหมด เรามองคุณชุนที่ถ่ายรูปไปตามประสา
พอหันหลังไปมองอีกทีพี่หมอก็มีสี่ขาไปแล้ว ไม่ใช่อะไร ไอ้บี๋มันหนีไปมุดโค้ทตัวยาวของพี่หมอชรัณ
มองไปมองมาแกก็เหมือนคุณมนุษย์ต่างดาวเหมือนกันนะ
พอมองไปอีกฝั่งเห็นแก่งคุดคู้ (เห็นคนขับรถบอกว่าถ้ามาตอนเที่ยงๆจะเห็นประเทศลาวด้วย)
เลยตกลงกับคุณชุนว่าพรุ่งนี้จะไปแก่งคุดคู้อีกครั้ง
แต่ว่าพรุ่งนี้ไอ้บี๋กับพี่หมอต้องกลับแล้ว เลยอดไปด้วยกันอย่างน่าเสียดาย หลังจากกลับสามล้อที่เหมามาหนึ่งร้อยบาท
ไปกินไข่กระทะกันแล้วก็แยกย้าย ไอ้บี๋พอได้รับแสงแดดก็เริ่มมีชีวิต
เหมือนว่ามันอยากไปเล่นแถวพวกร้านสวยๆเช็คอินแล้วปั่นจักรยานไหว้พระตามวัด
แต่เรากับคุณชุนอยากจะปั่นไปรอบๆมากกว่า ก็เลยแยกที่แยกทาง เจอกันอีกทีมื้อเย็น
หลังจากที่กลัว คุณชุนบอกว่าเห็นไอ้บี๋กินแล้วดูอร่อยดี
เราปั่นจักรยานไปด้วยกันกับคุณชุน หลังจากที่ว่าจะนัดกันกินข้าวริมแม่น้ำตอนเย็นกับไอ้บี๋
ก็แวะกินฮอกไกโดชีสเค้กซอยสิบสี่ล่างริมฝั่งโขง บรรยากาศตอนนี้กำลังดี
เรากับคุณชุนสั่งเค้กกับกาแฟร้อน รับรหัสไวฟายนี่เรียงเลขกันอย่างน่ารัก (ไม่ซับซ้อนเหมือนไวฟายฟรีแต่มีรหัสในกรุงเทพ
หรือไวฟายฟรีที่หายไปเสียดื้อๆของค่ายมือถือบางค่าย) เราชอบชุดเก้าอี้ไม้สีน้ำตาลที่ช่างเข้ากับกางเกงยีนส์สีน้ำเงินเข้มของคุณชุน
ชอบเสื้อโปโลสีครีมที่คุณชุนสวมและทับด้วยแจ็กเกตสีกรมท่า ซึ่งแกก็มองเราสักพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยปาก
“พี่หมวย ชันเข่าหน่อยครับ”
“ชนทำไมครับ..ร้านไม่ว่าเหรอ เหยียบเก้าอี้เขานะ”
“แป๊บเดียวครับ มองกล้องนะ”เราทำตามคำสั่งของคุณชุนร่างทรงพ่อ
ก่อนที่แกจะกดถ่ายรูปแล้วเราก็รีบวางเท้าเพราะกลัวจะโดนพนักงานมาว่า เรารับมือถือมาดู
ก่อนจะแปลกใจเมื่อเห็นคนในรูปที่ผมเป็นสีน้ำตาลแสกกลาง กำลังถือแก้วกาแฟเชยตามอง
เสื้อลายสก็อตเฉิ่มๆที่ไอ้อี้มันแซวตอนเราซื้อครั้งแรกแถวตลาดนัด สมัยเรียนลาดกระบังว่าเหมือนเสื้อตัดอ้อยสวมใส่แบบเก็บชายไว้ในกางเกง
อวดท่อนขาที่สวมสกินนี่เดนิมสีดำตัวย้วยที่ใส่มาหลายปี แปลกนะ.. ที่เทคโนโลยีสมัยนี้ทำให้สิ่งธรรมดาๆในสายตาของเราดูดีขึ้นมาได้
เราหรี่ตามองอยู่พักหนึ่งก็เอ่ยปากถามแกขึ้นมา
“คุณชุนบีบหน้าพี่เหรอครับ”
“พี่ไม่ค่อยกินอะไรเองมากกว่าครับ อย่างนี้แหล่ะ
ติดซีรี่ส์”
“ไม่ใช่สักหน่อย”เรายื่นปากใส่แก “คนต่อกันพลาไม่มีสิทธิ์บ่นพี่นะครับ”
“พอกันแหล่ะครับ”
“ซีรี่ส์พี่ไม่แพงเท่ากันพลาคุณชุนนะ”
“เดี๋ยวฟัดริมแม่น้ำเลย”แกว่าปุ๊บเราหุบปากปั๊บ
ก็คุณชุนแกพูดเล่นๆเสียเมื่อไหร่กัน แกคงเห็นเรานั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนปวดอึ
เลยตัดบราวนี่แบ่งมาให้เราชิมสองช้อนถ้วน เราก็มีศักดิ์ศรีนะคุณ... เอะอะอะไรก็เอาของกินมาปิดปาก
เห็นเราเป็นคนเห็นแก่กินหรือไร... อยากจะพูดแบบนี้กับคุณชุนนะ
แต่มือนี่จ้วงบราวนี่ใส่ปากแล้วก็อมยิ้มแก้มตุ่ยเพรามันอร่อยเหลือเกินไปเสียแล้ว
นี่แหล่ะหนอแพ้ทางของกิน...
ช่วงเย็นของวันนี้เรากับไอ้บี๋ก็ไปทานข้าวด้วยกันที่ร้านอาหารริมชายโขง
ร้านที่มันสรรหามาอย่างดิบดีเหมือนกูรูอาหารมากกว่าหมอ
อากาศวันนี้ไม่หนาวเท่าเมื่อวาน แต่ก็ยังเย็นๆเข้าบรรยากาศพระอาทิตย์ตกดิน
ทั้งลาบปลาคัง แกงป่าปลาคัง ปลาเนื้ออ่อนทอดกระเทียม ปลาเนื้ออ่อนทอดราดน้ำปลา ผัดเปรี้ยวหวาน
ผักกูดทั้งยำและผัดน้ำมันหอยมาอย่างละจานใหญ่ๆ
และหม้อไฟชายโขงที่รวมเนื้อกุ้งเนื้อปลาสดๆรสหวาน ซี่โครงหมูย่างและตำด้องแด้ง ด้องแด้งตอนแรกเราก็ว่าชื่อตลก
จริงๆมันคือแป้งเส้นคล้ายลอดช่อง จะกินแบบขนมจีนก็ได้ใส่กับส้มตำก็ได้
และน้ำพริกหลวงพระบางกับผักสด รสชาติก็เหมือนน้ำพริกหนุ่มที่เราไปกินตอนอยู่งานแต่งเจ๊จุ๋มอยู่นะ
กินสี่คน สั่งมาเป็นสิบอย่าง เพราะมื้อนี้มีทั้งสั่งมากินเป็นกับข้าวแบบเอาเป็นเอาตายแบบเรากับไอ้บี๋
กับสั่งมากินแกล้มไวน์หม่อนเอาบรรยากาศอย่างคุณชุนและพี่หมอ
“กินแล้วจะไปดูของฝากเลยมั้ยครับพี่”คุณชุนถามพี่หมอชรัณแทนถามไอ้บี๋ที่ข้าวยังเต็มปาก
“ไปเลยก็ได้นะ ปั่นจักรยานไปเดี๋ยวก็ย่อย
พี่ว่าพี่น้ำหนักจวนจะขึ้นแล้วล่ะ”พี่หมอก็ยังคงตอบกลับมาด้วยภาษาชาววัง ถ้าเราเป็นคุณชุนเราคงคิดเหมือนกันล่ะว่าพี่หมอชรัณเหมือนลูกชายคุณนายลดามากกว่าแกจริงๆ
หลังจากโดนพายุบี๋พัดกับข้าวจนเรียบวุธ ก็ได้รู้ว่าไอ้บี๋กับพี่หมอแวะไปซื้อมะพร้าวแก้วที่แก่งคุดคู้มา
(เอามาฝากเราชิมด้วย เห็นว่าเอาแบบเกรดเอมา เนื้อนิ่มอร่อยมาก) ตบท้ายก็เดินซื้อข้าวซื้อของ
พี่หมอก็เดินเลือกของกับคุณชุน และท่าทางรสนิยมจะออกไปทางเดียวกัน เห็นดีเห็นงามตามกันไปหมด
เราสังเกตว่าพี่หมอแกจะซื้อไปตามอยาก ไม่ถามความเห็นอะไรไอ้บี๋แม้แต่นิดเดียว
พอไปถามไอ้บี๋ก็ได้ความมาว่า
“กูไม่เลือกอะไรให้ทั้งนั้นแหล่ะ
เลือกไปแล้วก็ทะเลาะกัน ขนาดซื้อปลาทูน่ายังชอบคนละยี่ห้อ
มึงจะมาหวังอะไรกับของฝากเขาวะหมวย”
เออจริง...
เราได้แต่มองกับช่วยไอ้บี๋ถือของเพรามือมันมีแต่ของกิน
แล้วรสนิยมมันก็ยิ่งประหลาด ไม่แปลกไม่ซื้อ (มันจะฟินทุกครั้งที่ซื้ออะไรที่มีลายเดียวในกระบะ)
จนได้ของเรียบร้อยไอ้บี๋ก็ซื้อพวงกุญแจให้เรากับไอ้อิน และมีของฝากเล็กน้อยๆมันเอาไปรวมใส่ถุงมะพร้าวแก้วพี่หมอ
ฝากเราไปให้พ่อกับแม่ ไอ้บี๋มันน่ารักตรงนี้ ไม่ว่าจะยังไงมันก็นึกถึงพ่อแม่เราด้วยเสมอ
โดยพี่หมอแกก็ซื้อพวกสมุดโน้ตกับปากกาแฮนด์เมดให้เราใส่ถุงกระดาษ และมีอีกถุงให้คุณชุนก่อนที่เราจะแยกย้ายกัน
ไว้เจอกันที่กรุงเทพ เรากอดไอ้บี๋แน่นๆสักทีหนึ่ง พลันโบกมือให้กันตามประสา
พอกลับมาที่ห้อง เราสองคนก็แยกย้ายอาบน้ำกันก่อน
เราอาบนานกว่าเพราะรู้สึกว่าหัวเหม็นควันข้าวจี่ที่แวะซื้อแทะมาตามทาง เลยได้ยินเสียงคุณชุนเปิดประตูห้องน้ำห้องข้างๆออกไปก่อน
เราเดินเช็ดผมกลับเข้ามาในห้องก็ยืนถือลูกบิดค้างเมื่อเห็นคุณชุนแกนั่งเล่นอยู่กลางที่นอน
พ่อเจ้าประคุณใส่เสื้อกล้ามนุ่งผ้าขาวม้าพลันหันมายิ้มแต้ใส่เรา
“พี่ชรัณเขาซื้อให้ครับ นุ่งสบายดีนะ”
“ไม่หนาวเหรอครับ”เราถามพายามที่จะไม่ปาดเหงื่อ
โถพ่อคุณ นั่งเปลี่ยนขาทีหัวใจแทบวาย
“ไม่หนาวนะครับ อากาศดีกว่าเมื่อวานเลย
พรุ่งนี้เราจะไปแก่งกันอีกรอบใช่มั้ยครับ”
“เอ่อ ใช่ครับ เดี๋ยวไปซื้อมะพร้าวแก้วด้วย
ไว้ไปฝากเจ๊จุ๋มแก”เรานั่งลงกับที่นอนอีกฝั่ง
ปล่อยให้คุณชุนเลื่อนดูข้อมูลอะไรของแกไป
“อย่างนั้น... ตอนเช้าจะตักบาตรอีกมั้ยครับ?
ถ้าไม่ก็ตื่นสายๆกันได้ ไปกินข้าวปุ้นน้ำแจ่วกับจุ่มนัว”
“น้ำหนักพี่ขึ้นแน่ๆ”เราโอดครวญ “ไข่ต้มต้องลืมหน้าเราสองคนแน่ๆเลย”
“ไม่ลืมหรอกครับ
เดี๋ยวเราพักที่ห้องสักคืนค่อยไปรับไข่ต้มกลับ ตอนเราเหนื่อยๆคงเลี้ยงน้องไม่ดีแน่ๆ
พี่นอนกันเถอะ”คุณชุนหันมาชวนก่อนจะลุกไปปิดไฟ เราที่ระทึกกลัวมีฉากผ้าข้าวม้าหลุดก็โล่งใจว่าไม่มีแน่
แต่หันมาอีกที... คือแสงจากนอกห้องยังส่งมาสลัวๆ พ่อคุณแกมัดปมหนาก็จริง แต่แกเล่นยกขาอล่างฉ่างจนผ้าขาวม้าถลกร่นลงมาจนเห็นไอ้เขื่องเป็นเงาวูบไหว...
เก็บผ้าขาวม้าให้เจ้าสัวสมคิดแกใส่ดีกว่านะคุณชุน...ลวินท์ขอ...
:D
แท็ก #คุณชุนพี่หมวย นะครัช
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น