วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2558

หมวย (Sehun x Luhan) (18)












Title: หมวย (18)
Image: SEHUN x LUHAN
Author: RUNAWAY05
  Note: พี่ป๋อยังตามติด....


แรกๆเราคิดว่าจะไปภูกระดึงจะดีหรือไม่ แต่สุดท้ายหลังจากปรึกษากันหลายวัน พวกเราก็ตกลงว่าจะไปเชียงคาน พวกเราออกเดินทางด้วยรถไฟแทนที่จะนั่งเครื่อง เพราะส่วนตัวเราไม่ชอบนั่งเครื่องบิน และไม่อยากนั่งรถทัวร์ ลูกครึ่งฝรั่งหัวทอง (ผมรองทรงเหมือนเด็กมัธยมปลาย) กับลูกครึ่งจีนหัวแสกกลางจึงแบกข้าวของมาเตร่ที่หัวลำโพง รถไฟฟรี แต่อาหารระหว่างทางไม่ฟรี รออยู่สักพัก แวะเข้าไปกินข้าวอยู่ในศูนย์อาหาร ก็ออกมารอรถไฟ ขบวนที่เราสองคนจะไปในครั้งนี้คือกรุงเทพ-หนองคาย แต่เราจะลงที่อุดรธานีเสียก่อน (คุณชุนแกได้ยินก็เบ้ปาก...เพราะแกได้ข่าวว่าบ้านเกิดพี่ป๋ออยู่นี่)

สิบสองชั่วโมงที่เราสองคนใช้เวลาอยู่กับรถไฟ เนื่องจากเป็นผู้ชายทั้งคู่ ไม่ได้ซีเรียสว่าต้องนอนเป็นที่เป็นทาง ถ้าไม่มีคนก็เอาขาพาดที่นั่งตรงข้ามนั่นแหล่ะ แค่ระวังของมีค่าเก็บไว้กับตัว คุณชุนให้เราพกคัตเตอร์ไว้กับตัว แกว่าเจ้าสัวบอกมาว่าไปเที่ยวแบบนี้พกอาวุธไว้บ้าง ไว้ป้องกันตัว ถ้าจนตรอกก็ไว้จี้ปล้นตามมุมตึกได้... (เราจะไม่ถือสา..เราถือว่าฝรั่งมีอิสระทางจินตนาการ)

หลังจากสิบสองชั่วโมงผ่านไป พวกเราก็ได้เวลาลงสถานีอุดรในตอนแปดโมงกว่า ตอนแรกเราคิดว่าจะนั่งรถต่อจากสถานีขนส่งใกล้ๆนี่ได้เลย แต่คุณชุนที่ศึกษาการเดินทางมาอย่างหนักหน่วงก็ตั้งตนเป็นฝ่ายค้าน บอกว่าที่จะไปได้ต้องไปที่ขนส่งสอง ก็โบกตุ๊กตุ๊กแหล่ะไป ฝ่ายค้านก็อภิปรายไม่ไว้วางใจเราอีก แกบอกว่าข้ามขนส่งไปอีกฟาก ไปโบกรถสายสิบ ราคาสิบบาทตลอดสาย ลวินท์ถึงกับมึนว่าคุณสุหฤทธิ์ไปเอาข้อมูลมาจากไหนหนักหนา แล้วที่สำคัญถูกต้องเสียด้วย เมื่อมาถึงขนส่งเจ้าหน้าที่ก็ปรี่มาสอบถาม กอนจะพาไปส่งถึงประตูรถ คุณชุนชมว่าคนที่นี่น่ารัก ไม่เหมือนบางที่ พอเจอฝรั่งก็จ้องจะฟันหัวแบะ

ระหว่างนั้นรถก็แวะขนส่งหนองบัวลำภูอยู่ครึ่งชั่วโมง ก็ได้ลูกชิ้นทอดไม้ละห้าบาทมาประทังชีวิต ซึ่งเป็นราคาที่หาไม่ได้แถวกรุงเทพ (ซึ่งไม่รวมกับซาลาเปาคุณป้าที่ลูกใหญ่เหลือเกิน แต่คุณชายเธอก็ซัดไปคนเดียวสองลูกเสียเรี่ยม ปล่อยให้เราและๆเล็มๆเหมือนแพะไปเรื่อยๆ) ใช้เวลาไปสองสามชั่วโมงก็ถึงเมืองเลย เราก็เอาละ ที่นี่มีรถทัวร์ไปเชียงคานละ คุณชุนก็ตั้งตนเป็นฝ่ายค้าน ขอนั่งสองแถวไปดีกว่า ลมโกรกสบายกว่าเยอะ ก็ขึ้นสองแถวจากขนส่งนี่แหล่ะ

นั่งมาชั่วโมงกว่าๆพวกเราก็ถึงอำเภอเชียงคาน (ที่ไอ้อี้มันกระแนะกระแหนผ่านไลน์มาว่า มาหาเพื่อนสบายๆไม่ชอบ ชอบไปเป็นฮิปสเตอร์) และแล้วก็ถึงถนนคนเดินเชียงคาน แวะกินก๋วยเตี๋ยวไก่ตุ๋นอีกล่ะ กินตั้งแต่กรุงเทพไม่พอมาถึงเชียงคานก็กินเข้าไปอีกให้เป็นเกาท์กันไปเสียข้างหนึ่ง สั่งหมี่ไก่ตุ๋นมาสอง ราคาก็เท่าธรรมดาในกรุงเทพ แต่คุณเอ๋ย ถ้วยหรือกะละมัง ให้มาเยอะเหลือเกิน ไม่รู้ว่าอุปาทานเพราะหิวหรืออะไร แต่มันอร่อย ขนาดคนที่ลิ้นจระเข้อย่างเรายังยอมรับว่าอร่อย จนคุณชุนแซวเราว่าท่าจะอร่อยจริง เพราะหน้าตาออก เรามักโดนทักตั้งแต่เล็กจนโต ว่าเป็นคนกินเหมือนไม่อร่อย

บรรยากาศสบายๆติดเหงาๆเล็กน้อย เราคิดว่าเป็นฤดูกาลกับบรรยากาศเพราะตอนนั่งรถมาฝนปรอยลงมานิดหน่อย ถนนคนเดินเชียงคาน จะมีอยู่ประมาณยี่สิบซอย เต็มไปด้วยพี่พัก ตั้งแต่หลักร้อย ไปจนถึงหลายพัน บ้างเป็นโฮสเทล บ้างเป็นโรงแรม ชอบแบบไหนก็เลือกเอาได้เลยแล้วแต่ความชอบ จนไปถึงเกสต์เฮาส์ชื่อดังแห่งหนึ่งที่คุณชุนมาจองไว้ แกว่าได้คุณเชนทร์แนะนำมาตอนมาเที่ยวกับครอบครัว เป็นห้องนอนเดี่ยวสำหรับสองคน คุณชุนบอกว่าจะนอนรวมก็ได้นะ เพราะแกไม่อายถ้าจะฟัดเราให้คนอื่นดู แกเปิดเผยของแกมาแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่ฟัดไม่ได้ชอบมาเกยมาเกาะจนฟัดได้แกก็ใช้อภิสิทธิ์ของแกเต็มที่

ในขณะที่เรานอนพักด้วยความเมื่อยล้า คุณชุนของสังคมก็ไปคุยกับคุณป้าเจ้าของเกสต์เฮาส์ ได้ความมาว่าโชคดีที่จองทันช่วงวันหยุดยาว คนจะค่อนข้างเยอะ ร้านรวงจะไม่ค่อยเงียบเหงานัก ถ้ามีโอกาสตอนตีห้าไปดูทะเลหมอก แต่ต้องออกกันตอนตีสี่ครึ่ง เราก็ได้แต่เออออไปอย่างนั้น แล้วก็หลับ เราหลับเอาเป็นเอาตายทั้งที่ใช้ชีวิตแม่บ้าน แต่คุณชุนที่ทำงานหนักตลอดแกนอนด้วยแค่แป๊บเดียวก็ตื่น เรารู้สึกตัวแต่ไม่อยากตื่นตามแก สักพักก็รู้สึกว่ามีอะไรหยุบๆหยับบนหัว ปรากฏว่าคุณชุนเอานิ้วมาสางผมเรา สักพักก็มาละทิชชู่เปียกมาเช็ดหูให้เรา แคะขี้หูเรา งัดแงะจนเราตื่น หูเรี่ยมสะอาดพอดี

“อ้าวตื่นแล้วเหรอครับ?”

 “คุณชุนไม่นอนยาวๆบ้านเหรอครับ เมื่อยจะตายไป”เราว่า

“ต่างที่ ผมนอนไม่ค่อยหลับครับ”คุณชุนแกยิ้มให้ ทรงผมแกตอนนี้ทำให้เราพอนึกสภาพแกตอนอยู่มัธยมปลายออก อีกอย่างเห็นว่าจวนค่ำ เราเลยไปอาบน้ำแต่งตัวเดินเล่นถนนคนเดินตอนกลางคืน

เชียงคานให้ความรู้สึกที่บางเบาเหมือนกับหมอก...มันแตกต่างกับเยาวราชหรืออโศกที่เราใช้ชีวิตอยู่มาตลอด มันสวยงามและเรียบง่ายในตัวของมันเอง ท่ามกลางคนพลุกพล่านก็ยังให้ความรู้สึกเหงาราวกับมีหมอกอบอวลอยู่ในภาพสายตา กินกันสารพัดตั้งแต่ลูกชิ้นไปปิ้งจนไปถึงเหล้าปั่น เมื่อถึงช่วงสี่ทุ่มถนนก็เริ่มเงียบและซา ป้าเจ้าของเกาสต์เฮาส์บอกเราว่าถ้าไม่ใช่ช่วงคนเยอะๆ ก็เก็บร้านกันตั้งแต่สามทุ่ม เรามาอาบน้ำเตรียมนอนอีกรอบ โดยที่ขอชะลอเรื่องไปดูทะเลหมอกแต่ยืนยันว่าจะตื่นให้ทันใส่บาตร อากาศค่อนข้างเย็น เราห่อตัวเสียกลมป๊อกโดยที่คุณชุนแกใส่แค่เสื้อคอกลมแขนยาวเท่านั้น

“พี่หมวย...หนาวมากเหรอครับ ฮ่าฮ่า”

“มันหนาวๆนะคุณชุน ใส่แบบนี้แหล่ะดี”เราที่หดคอกับเสว็ตเตอร์เนือ้หนาๆก็เหลือกตาไปหาแก ต่างคนต่างพิงหัวที่นอนมองไปเรื่อยเปื่อย ก่อนที่คุณชุนจับหัวเราไปซบไหล่แก

“สวยจังเลยนะครับ”

“ครับ...สวยมากเลย”

“ผมคิดอยู่บ่อยๆว่าตอนแก่จะมาอยู่ที่แบบนี้ เรียบง่ายดี ไม่ต้องเบียดเสียดหรือแข่งขันอะไรกันมาก ...”

“...”

“จนตอนนั้น...พี่อยากมาอยู่กับผมมั้ยครับ”คุณชุนถาม และเราก็พยักหน้าอย่างไม่ลังเลใจเลย

“ครับ”

“เดี๋ยวผมได้ฟัดพี่แน่...”แกเปรยจนเราเบ้หน้าขึ้นมา

“ทะลึ่งตึงตังนะครับเดี๋ยวนี้”

“มีเมียก็เอาไว้ฟัดสิครับ”ยังจะมายิ้มระรื่น เราละแทบจะลืมคุณชุนตอนบวชไปเลยทีเดียว สรุปคือเราก็ทำอะไรแกไม่ได้อยู่ดี ให้ฟัดไปตามระเบียบเรียบร้อยโรงเรียน ซึ่งเราพยายามที่จะเบา...

เมื่อมาถึงช่วงเช้าตอนหกโมง ก็มีนัดตักบาตรกับคุณป้าเจ้าของพร้อมกับนักท่องเที่ยวอีกสามคน คุณป้าแต่งตัวน่ารักมากๆ ยิ้มแย้มทักทายเราแต่เช้า ในชุดตักบาตรจะมีข้าวเหนียวกระติบหนึ่ง นมกล่องเล็กๆสองกล่อง และพวกเวเฟอร์เล็กๆน้อยๆ ซึ่งข้าวเหนียวก็หยิบใส่บาตรไปเลย ไม่ต้องปั้นให้พระ ซึ่งพระก็มาบิณฑบาตเรื่อยๆ ได้ข่าวว่ามาจากหลายวัด เรียบร้อยของเราก็กลับ ไม่ต้องรอให้ครบทุกวัดทุกองค์ เดี๋ยวจะหมดตัวเอา

พอทานข้าวเปียกเส้น(ก๋วยจั๊บญวน)เป็นมื้อเช้า พวกเราก็หาทางไปแก่งคุดคู้ คุณชุนแกตัวสูง ขาเล็กๆ ไหล่กว้างๆ ใส่เสื้อแขนยาวคอกลมสีเทา สะพายกระเป๋าใส่ของมีค่าพาดบ่า ดูเป็นหนุ่มเกาหลี (ไอ้อี้บอกมา) ส่วนเราเป็นคนขี้กังวล กลัวขาดกลัวเหลือ กระเป่าเราเลยคล้ายถุงผ้า อากาศมันหนาวเราก็ใส่เสื้อสีขาวกางเกงขาวยาวทับคาร์ดิแกนไปตัว คุณป้าก็ใจดีเป็นธุระเรียกหาตุ๊กๆพาไปแก่ง หัวละร้อยห้าสิบบาท แต่ไปถึงก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ ไม่ได้สวยตรึงใจเท่าไหร่ ซึ่งคนแถวนั้นบอกว่าถ้าน้ำลดกว่านี้จะสวยกว่า เราเลยรอคุณชายถ่ายรูปเพื่อทำสรุปผลรายงานไปส่งคุณนายลดาหลังจบทริป เผื่อจะเปลี่ยนใจคุณนายแกมาเที่ยวไทยเสียบ้าง ให้เจ้าสัวพาออกเมืองนอกตลอดจนเจ้าสัวสมคิดแกโทรมาหาลูกชายว่าอยากกินส้มตำปลาร้าไม่ไหวแล้ว

“เรียบร้อยแล้วใช่มั้ยครับ”

“ครับ...อ่า แบตจะหมดแล้ว”คุณชุนพึมพำเราก็ส่งแบตเตอรี่สำรองไปให้ จนได้ยินเสียงเรียกคุ้นๆแว่วมา

“เฮ้ย..หมวย..หมวยเปล่าวะ”

“น้องบี๋...”

“หมวยมั้ยครับ..หมวย...”เราเงยหน้าไปมองฝั่งขวามือก็เจอไอ้บี๋โบกมือเย้วๆสลับกับเสียงเอ็ดของพี่หมอร่างอวตารแม่คุณชุน

“เฮ้ยบี๋ มานี่เหมือนกันเหรอ ไหนว่าจะไปพะงันไง”เราทักไปพร้อมกับไอ้บี๋ที่วิ่งสับขามาหา

“เต็ม..เต็มแบบ...เต็มจนไม่รู้จะพูดยังไงว่ะ...พอดีคนไข้พี่หมอเขาชวนมาพักที่โรงแรมลูกสาวเขา ก็เลยมาดู..สวัสดีครับน้องชุน”ไอ้บี๋เอ่ยทักยิ้มๆประสาโหมดอารมณ์ดีของมันจนปากเป็นสี่เหลี่ยม

“สวัสดีครับพี่บี๋ สวัสดีครับพี่หมอ”

“พี่หมอสวัสดีครับ”เราทักพี่หมอชรัณที่เดินตามมายิ้มๆ แกใส่โค้ทตัวยาวกางเกงขายาวเสื้อสีขาว และไอ้บี๋ก็ใส่กางเกงยีนขาเต่อตัวโปรดมันกับเสื้อฮู้ดหนาๆนุ่มๆ มองการแต่งตัวก็เหมือนจะสลับคู่ไม่น้อย

“เจอหน้ากันรู้มั้ยต้องทำยังไง”

“กินอีกสิ”เราว่ายิ้มๆ

“แน่นอนเว้ย เรามันสายแดก”ไอ้บี๋กอดคอเราลากนำหน้าโดยที่คุณชุนไปทักพี่หมออยู่ด้านหลัง ได้ความมาว่าทั้งคู่พักในโรงแรมที่ถัดจากเราไปไม่กี่ซอย เดินทางมาโดยเครื่องบินและต่อรถทัวร์มาอย่างไฮโซ และโชคดีมากที่ไอ้บี๋เองก็จะไปดูทะเลหมอกพรุ่งนี้ เลยนัดไว้ว่าจะไปด้วยกัน

“ไอ้อินล่ะ ไปเที่ยวไหน?”

“มันอยากออกรถใหม่ เลยเป็นเด็กดีอ้อนตาเส็งอยู่บ้านน่ะแหล่ะ มันขาดอีกนิดหน่อยแล้วมันก็ไม่อยากยืมใคร ยืมพ่อมันแหล่ะมันสบายใจดี วิดิโอไปหามันกัน”ไอ้บี๋กดมือถือไปมา รอสักพักหน้าจอก็ปรากฏภาพไอ้อินกำลังเลี้ยงหมาตัวเล็กๆสามตัวในบ้าน

((เฮ้ย! พวกมึงไปไหนกัน ไม่ชวนกูวะ))

“กูชวนแล้ว”ไอ้บี๋ขยับปากเสียงไม่ดังนัก อาศัยช่วงพี่หมอกำลังคุยกับคุณชุน

((กูไม่รู้ว่ามึงจะไปกับไอ้หมวยด้วยนี่หว่าแม่ง))

“เฮ้ยๆ มาเจอกันที่นี่ บังเอิญจริงๆ”เราว่าก่อนที่จะโดนมันน้อยใจใส่

“เออ จริงๆ ตอนเห็นนี่ยังตกใจอยู่เลย”

((จริงนะเว้ย..อยู่นี่เหงาชิบหาย อย่าลืมของฝากนะ))

“สิ้นเดือนมากินเรดซันดิ เจอกัน เดี๋ยวซื้อของไปฝาก เนอะหมวย”ไอ้บี๋ว่าโดยที่เราก็พยักหน้ารับ ไอ้อินก็ส่งเสียงว่าอย่าลืมนะๆจนตัดสายไป จะเด็กจะโตไอ้อินก็เหมือนเดิม แยกกันอยู่แยกได้ แต่อย่าแยกไปอยู่สองคนแบบไม่มีมัน ไมงั้นมันจะน้อยใจมากๆ ทั้งที่มันตัวสูงหน้าหล่อเป็นชายชาตรีที่สุดในกลุ่มเด็กห้องแถวแล้วนะ

สุดท้ายเราก็มาลงเอยกับร้านส้มตำด้านบน สั่งปลานิลเผา ต้มยำไก่บ้านหม้อไฟ ส้มตำ  ยำเล็บมือนาง กุ้งแม่น้ำโขงทอด ขนมจีน ข้าวเหนียว เราก็ยอมใจไอ้บี๋มันที่กินอะไรก็ดูน่าอร่อย (จนคุณชุนแอบกระซิบกับเราว่าแกกลัว) แต่ที่ยอมใจสุดคือพี่หมอชรัณ แกกินของแกไปเรื่อยๆ แทะๆเล็มๆจนเราพบว่านี่แหล่ะ... มนุษย์ที่กินแล้วดูไม่อร่อยเหมือนเรา

“อร่อยมั้ยครับพี่หมอ”เราถาม ก่อนที่แกจะยิ้มกลับมา

“อร่อยครับ..ปกติกินแต่ข้าวกล่องแช่แข็ง กินแบบนี้แล้วชื่นใจดี นานๆจะได้พักบ้างน่ะครับ”คำพูดคำจาก็เหมือนคุณนายลดาไปอีก ได้ข่าวว่าครอบครัวพี่หมอแกก็เพิ่งรู้ว่าหลานหน้าเหมือนคุณนายมากขนาดนี้

ลงท้ายก็แยกกันเพราะนั่งตุ๊กๆมาคนละคัน ซึ่งเรานัดกันเดินเล่นอีกคืนนี้ คุณชุนก็ใจดีแวะซื้อเอ็มร้อยให้คุณลุงผูกมิตร เรากลับมาที่เกสต์เฮาส์ นั่งๆนอนๆชาร์จแบตทั้งคนและอุปกรณ์ก่อนจะพากันออกไปปั่นจักรยานเล่นแล้วค่อยมาเจอไอ้บี๋กับพี่หมอตอนเย็น ซึ่งคุณชุนแกก็เหมือนชายหนุ่มมาพักผ่อนนะ แต่เราดูเหมือนแม่บ้านไปจ่ายตลาดพิกล ไม่รู้ว่าเราสามารถโทษกระเป๋าผ้าหน้าตะกร้ารถได้มั้ยนะ

เราไปถ่ายรูปพระอาทิตย์ตก แล้วก็กลับ เพราะอยู่กันสี่วันสามคืน ดังนั้นนี่แค่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น เราเห็นด้วยกับคุณชุนว่าพรุ่งนี้ลองมานั่งเล่นเลียบฝั่งดู จึงได้กลับมาเล่นกับแมวสามสีหน้าร้านแล้วรับสายไอ้บี๋ที่นัดกินข้าวที่ร้านหนึ่งซอยไม่ใกล้ไม่ไกลนัก

“พี่บี๋ว่ายังไงบ้างครับ”คุณชุนเดินเช็ดผมมาหาเราซึ่งเราก็ส่งยิ้มให้แกไป

“นัดทุ่มนึงครับ อีกสักพักเลย ส่วนเจ๊จุ๋มบอกว่าไข่ต้มสบายดี น้องมินก็ขอของฝากครับ”

“น้องมินเหรอ?... ออกไปอยู่กับพี่จุ๋มก็ดีแล้วครับ ตอนนี้ออฟฟิศอย่างกับสงครามนางฟ้า”คุณชุนหัวเราะและเราก็เช็ดผมให้แกยิ้มๆ จนได้เวลาพวกเราก็ออกมาร้านตามนัด บรรยากาศที่ค่อนข้างเย็นทำให้เราดีใจที่มื้อนี้เป็นหมูกระทะร้อนๆแก้หนาวเสียหน่อย มาถึงก็มีคนจัดชุดมาให้ ไม่ต้องไปตักให้เปลืองโดยใช่เหตุ ไม่พอค่อยสั่งใหม่ เราแกะตะเกียบจัดถ้วยพริกสดน้ำจิ้มให้คุณชุน ก่อนจะเห็นพี่หมอชรัณกำลังทำแบบเดียวกันให้ไอ้บี๋... (โถ..หัวอกบ่าว เราถึงกับทุบอกในใจ ไม่ใช่แค่เราที่มีชะตากรรมนี้)

“โคตรหนาว..เอ่อ หนาวมาก..หนาวจนหูแดงเลยดูสิ”ไอ้บี๋หันข้างให้เราดู ก่อนที่พี่หมอชรัณแกจะทักขึ้นมา

“พี่ให้หนูใส่ที่ปิดหู หนูก็ไม่ใส่นี่ครับ”

“มันมุ้งมิ้งอะพี่ เป็นขนๆ จั๊กจี้ออก”ไอ้บี๋บ่น โดยเรากับคุณชุนก็ยิ้มตาม พวกเราสั่งมาสองเตา เตาหนึ่งเป็นหมูกระทะ เตาหนึ่งเป็นตะแกรงย่าง คุณชุนกับพี่หมอก็อยู่ฝั่งตะแกรงย่าง เรากับไอ้บี๋ก็หันหน้าหากันฝั่งหมูกระทะ พอกระทะร้อนก็เอาไขมันหมูชิ้นๆทาให้ทั่ว รอสักพักให้มันไหลเคลือบ เนื้อจะได้ไม่ติด จะได้ไม่เสียค่าเปลี่ยนกระทะ ผักก็เอาลงรอ เราชอบผักเปื่อยๆ ผักเวลาเคี่ยวเปื่อยๆมันหวานน้ำผัก ผสมกับน้ำมันหมูแล้วมันกระชุ่มกระชวยใจ หันไปเตาข้างๆที่มีกุ้งแม่น้ำย่างเรียงรายกัน ก็ได้หน้าที่ ฝั่งหมูกระทะก็ตักเนื้อตักผักให้ฝั่งย่างกุ้ง ฝั่งย่างกุ้งก็แกะกุ้งให้ฝั่งหมูกระทะ กุ้งแม่น้ำตัวโตๆดึงหัวออกจนมันกุ้งแดงเยิ้มจนไอ้บี๋ต้องร้องสั่งข้าวมาคลุกกินเพราะอดรนทนไม่ได้ คุณชุนเองก็เช่นกัน

“คิดถึงแม่เลยครับ...สงสัยต้องรอแม่กลับมาทำมันกุ้งเสวยให้กิน”คุณชุนว่า “แม่ทำอร่อยมากเลยนะ คลุกข้าวกินได้เหมือนกานาฉ่ายของพี่เลย”

“จริงดิหมวย ม๊าทำกานาฉ่ายไว้ตั้งเยอะ เดี๋ยวกลับกรุงเทพไปเอานะ ฝากน้องชุนด้วย”ไอ้บี๋พูดขึ้นทั้งที่มันกุ้งยังเลอะปาก

“แบ่งพี่หมอมั่งสิ”เราว่า

“พี่หมอไม่กินหรอก อะไรใบๆเขียวๆไม่กิน ตอนนั้นมีคนเอาแกงขี้เหล็กมาฝาก พี่เขาเข้าไปอ้วกในห้องน้ำ”มันฟ้องพร้อมกับพี่หมอที่กล่าวเสียงอ่อย

“สีมันไม่น่ากินนี่ครับ”

“กินเยอะแบบนี้จะตื่นตีสี่ครึ่งทันมั้ยครับเนี่ย”คุณชุนว่าพร้อมกับเสียงของโต๊ะข้างๆก็ดังขึ้นมาทันกัน

“เฮ้ย อย่าดื่มเยอะน่า เราต้องไปให้ทันตีสี่ครึ่งนะ”

“...”เรากับคุณชุนเลิกคิ้วก่อนจะเหลียวไปเหล่าโต๊ะข้างๆที่นั่งหันหลังให้พวกเรา ซึ่งทางเขาก็คงแปลกใจเหมือนกัน แต่ทันทีที่ฝั่งนั้นหันหน้ามา เราก็พบกับคนๆหนึ่งที่ทำให้คุณชุนขยุ้มคิ้วลงได้ทันตา

“อ้าวหมวย..มาเที่ยวเหรอ?”

“พี่ป๋อ...?”



งานนี้..จะมีคนเหาะลงแม่โขงมั้ยนะ....




:D

แท็ก #คุณชุนพี่หมวย จ้า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น